THAI CLIMATE JUSTICE for All

Radical Interdependence: การพึ่งพาอย่างรากลึก — โลกที่ไม่มีใครอยู่ลำพัง และไม่มีสิ่งใดอยู่แยกเดี่ยว

บทนำ: เรามีชีวิตอยู่แบบแยกขาด หรือเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่ใหญ่กว่ากันแน่?

ในโลกสมัยใหม่ที่เน้นความเป็นปัจเจก ความเป็นเจ้าของ และการควบคุมธรรมชาติ เราถูกสอนให้คิดว่า “มนุษย์” เป็นศูนย์กลาง และสิ่งอื่นๆ เช่น ดิน น้ำ ป่า หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ล้วนเป็นวัตถุที่มนุษย์สามารถจัดการได้

แต่ใน Designs for the Pluriverse, Arturo Escobar เสนอแนวคิดที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง — โลกไม่ได้ประกอบด้วยหน่วยแยกขาด แต่มันคือ เครือข่ายของความสัมพันธ์ที่ลึก ซับซ้อน และเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก

Escobar เรียกแนวคิดนี้ว่า “Radical Interdependence” หรือ “การพึ่งพาอย่างรากลึก”

Radical Interdependence คืออะไร?

ในทางปรัชญา Radical Interdependence คือการเปลี่ยนจาก “ontology แบบวัตถุ” (object-based ontology) มาสู่ ontology แบบความสัมพันธ์ (relational ontology)

โลกไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่แยกจากกันแล้วค่อยเชื่อมต่อ แต่คือเครือข่ายของสิ่งที่ “มีอยู่ผ่านความสัมพันธ์”

แนวคิดนี้ตอกย้ำว่า:

  • มนุษย์ไม่เคยอยู่โดดเดี่ยว
  • ไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง
  • การพึ่งพาไม่ใช่จุดอ่อน แต่คือธรรมชาติของชีวิต
  • นี่คือ รากฐานของความคิดในหลายวัฒนธรรมพื้นเมือง และขบวนการ decolonial ที่ Escobar ยกขึ้นมาเพื่อโต้กลับแนวคิด “มนุษย์แยกเดี่ยวผู้ควบคุมโลก” ของโลกทัศน์แบบทุนนิยม-วิทยาศาสตร์ตะวันตก

รากฐานปรัชญา: จาก Indigenous Cosmologies สู่ Ecofeminism และ Posthumanism

Escobar ไม่ได้สร้างแนวคิดนี้ขึ้นมาเอง แต่ดึงมาจากฐานคิดหลายสายที่มีจุดร่วมคือการปฏิเสธโลกทัศน์แบบแยกส่วน ได้แก่:

1. Cosmovisions ของชนพื้นเมือง

  • โลกถูกมองว่าเป็นสิ่งมีชีวิต
  • ดิน น้ำ ป่า ภูเขา มีจิตวิญญาณ (ไม่ใช่สิ่งของ)
  • มนุษย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งในวงจรชีวิต ไม่ใช่ศูนย์กลาง

2. Ecofeminism

  • ชี้ให้เห็นว่าการกดขี่ธรรมชาติเชื่อมโยงกับการกดขี่ผู้หญิงและเพศชายขอบ
  • เสนอความสัมพันธ์แบบ “care” และ “interdependence” แทนการควบคุม

3. Posthumanism

  • วิจารณ์ความเป็นมนุษย์ในแบบตะวันตกที่แยกออกจากสิ่งอื่น
  • เสนอความคิดว่ามนุษย์เป็น “assemblage” หรือชุดของความสัมพันธ์
  • ทั้งหมดนี้ช่วยเสริมรากฐานให้กับแนวคิด Radical Interdependence ในฐานะ วิธีใหม่ในการมองโลก การออกแบบ และการอยู่ร่วม

Implications ต่อการออกแบบ: ออกแบบไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ แต่ออกแบบ “ความสัมพันธ์”

หากเรายอมรับว่าโลกคือความสัมพันธ์ เราต้องตั้งคำถามใหม่กับการออกแบบ เช่น:

  • การออกแบบกำลังรักษาหรือทำลายความสัมพันธ์อะไร?
  • ผลิตภัณฑ์หรือระบบนี้ช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์คน-ธรรมชาติ หรือกำลังตัดขาดมัน?
  • การออกแบบเพื่อการพัฒนาแบบใดที่หลีกเลี่ยงการละเมิดเครือข่ายของชีวิต?

Escobar เสนอให้การออกแบบ:

  • ไม่ใช่แค่ “ออกแบบสิ่งของ” แต่คือ “การฟังและเข้าไปอยู่ในสายใยของความสัมพันธ์”
  • ไม่ใช่แค่แก้ปัญหา แต่คือ การประคับประคองชีวิตร่วมในความเปราะบาง

ความสัมพันธ์กับ “Pluriverse” และ “Autonomous Design”

Radical Interdependence คือ หัวใจของ Pluriverse — เพราะแต่ละ “โลก” ใน Pluriverse มีฐานอยู่บนความสัมพันธ์เฉพาะ

ใน Autonomous Design ความสัมพันธ์นี้มีบทบาทสำคัญ เช่น:

  • การปกครองตนเองที่เคารพภูมิทัศน์ วิญญาณ และวิถีทางพิธีกรรม
  • การฟื้นฟูระบบนิเวศควบคู่กับการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางสังคม
  • การฟังเสียงของสิ่งมีชีวิตอื่น — ไม่ใช่เชิงเปรียบเปรย แต่เป็นจริงเชิง ontological

ตัวอย่างที่สะท้อน Radical Interdependence

1. ชุมชนพื้นเมืองใน Amazon

  • มองแม่น้ำว่า “เป็นญาติ” และมีพิธีกรรมสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตในนั้น
  • การวางแผนใช้ทรัพยากรไม่ได้ผ่านตรรกะผลผลิต แต่ผ่านความสมดุลทางจิตวิญญาณ

2. ระบบเกษตรอินทรีย์ใน Andes

  • ปลูกพืชหลากชนิดร่วมกันไม่ใช่เพียงเพื่อประสิทธิภาพ แต่เพื่อฟื้นคืนความสัมพันธ์ของมนุษย์กับฤดูกาล ดิน และสัตว์ที่อยู่ร่วม

3. การออกแบบพื้นที่ในเมืองแบบเชื่อมโยง

  • บางโครงการในโบโกตา หรือเม็กซิโกซิตี้ เริ่มนำแนวคิด “ภูมิทัศน์สัมพันธ์” มาใช้ เช่น การฟื้นคลอง การตั้งศาลเจ้าท้องถิ่น หรือพื้นที่ให้สัตว์ป่าและมนุษย์ใช้ร่วม

ทางเลือกเชิงโครงสร้าง: การออกแบบระบบสังคมใหม่ บนฐานของการพึ่งพา

  • ถ้า Radical Interdependence เป็นฐานคิดจริง เราจะต้องออกแบบใหม่ในระดับโครงสร้าง เช่น:
  • ระบบเศรษฐกิจ ที่ไม่เน้นกำไรเดี่ยว แต่เน้นการดูแลและแบ่งปัน
  • ระบบการเมือง ที่ฟังเสียงของธรรมชาติและคนชายขอบเท่าๆ กับเสียงในสภา
  • ระบบการศึกษา ที่ไม่แยกวิทยาศาสตร์กับจิตวิญญาณ แต่เชื่อมโยงวิธีรู้หลายแบบเข้าด้วยกัน
  • Escobar จึงไม่เพียงเสนอมุมมองใหม่ แต่เสนอ กรอบโลกทัศน์ใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง — ไม่ใช่แค่เปลี่ยนสิ่งที่เราทำ แต่อยากให้เรากลับไปถามว่า “เราเป็นใครในโลกนี้?”

บทสรุป: ในเครือข่ายของชีวิต ไม่มีใครหรือสิ่งใดอยู่ได้เพียงลำพัง

Radical Interdependence คือการยืนยันว่า:

  • ความเปราะบางคือธรรมชาติของชีวิต
  • การพึ่งพากันคือพลัง ไม่ใช่จุดอ่อน
  • โลกที่ยั่งยืนต้องยืนอยู่บนความสัมพันธ์ที่ถูกฟื้นฟู ไม่ใช่ควบคุม
  • มันเป็นมากกว่าหลักจริยธรรม แต่คือ พื้นฐานทางอภิปรัชญา (ontology) ที่จำเป็นต่อการอยู่รอดร่วมกันในโลกที่แตกสลายจากแนวคิดแยกส่วนแบบทุนนิยม
  • การออกแบบในโลกเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องของ “สิ่งใหม่” เท่านั้น แต่คือ การฟื้นคืนความสัมพันธ์เก่าที่เราเคยลืม และการออกแบบความเป็นไปได้ใหม่ที่เรายังไม่เคยจินตนาการ
Scroll to Top