THAI CLIMATE JUSTICE for All

มานุษยวิทยาว่าด้วยแผ่นดินไหว

By: The Annapurna Express

บทนำ

แผ่นดินไหวไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เผยให้เห็นโครงสร้างทางอำนาจ ความไม่เท่าเทียม และวิธีที่ผู้คนรับมือกับความไม่แน่นอน นักมานุษยวิทยาได้ศึกษาผลกระทบของแผ่นดินไหวผ่านมิติทางวัฒนธรรม สังคม และการเมือง โดยมองว่าการตอบสนองต่อแผ่นดินไหวเป็นกระบวนการที่เกี่ยวพันกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ความทรงจำร่วม และการจัดการความเสี่ยงในระดับท้องถิ่นและระดับโลก

1. แนวคิดหลักในมานุษยวิทยาภัยพิบัติ

1.1 ภัยพิบัติในฐานะ “กระบวนการทางสังคม” (Disaster as Social Process) นักมานุษยวิทยา เช่น Anthony Oliver-Smith (1999) ชี้ให้เห็นว่าภัยพิบัติเช่นแผ่นดินไหวไม่ได้เป็นเหตุการณ์โดดเดี่ยว แต่เป็นผลลัพธ์ของกระบวนการทางสังคมและการเมืองที่สร้างความเปราะบางและความไม่เท่าเทียมในชุมชน ก่อนเกิดภัยพิบัติ ระบบเศรษฐกิจและการวางผังเมืองที่เน้นผลประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่ง อาจสร้างเงื่อนไขที่ทำให้บางกลุ่มเสี่ยงต่อภัยพิบัติมากกว่าคนอื่น

1.2 การรับรู้และการอธิบายภัยพิบัติ (Cultural Perception of Risk) Mary Douglas (1978) เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ cultural theory of risk โดยระบุว่าการรับรู้ความเสี่ยงไม่ได้เป็นเพียงผลของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ แต่มีรากฐานอยู่บนโครงสร้างทางวัฒนธรรมและค่านิยมของสังคม ตัวอย่างเช่น การรับรู้แผ่นดินไหวในสังคมญี่ปุ่นแตกต่างจากในเฮติ ซึ่งสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ ความทรงจำร่วม และระบบความเชื่อที่แตกต่างกัน

1.3 ภัยพิบัติและความไม่เท่าเทียมทางสังคม (Disaster and Social Inequality) มานุษยวิทยาภัยพิบัติตั้งคำถามเกี่ยวกับ ความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม (environmental justice) โดยชี้ให้เห็นว่าแผ่นดินไหวมักส่งผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางอย่างไม่สมดุล เช่น คนจนและผู้หญิงที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัย นักวิชาการ เช่น Greg Bankoff (2003) วิเคราะห์ว่าโครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมทำให้การฟื้นฟูหลังภัยพิบัติมักถูกกำหนดโดยกลุ่มชนชั้นนำ ซึ่งตอกย้ำความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่แล้วในสังคม

2. กรณีศึกษาการวิเคราะห์เชิงมานุษยวิทยา

2.1 แผ่นดินไหวเฮติ (2010) การเมืองของความช่วยเหลือ แผ่นดินไหวในเฮติเมื่อปี 2010 คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 200,000 คนและทำให้ประชากรกว่า 1.5 ล้านคนต้องไร้ที่อยู่อาศัย นักมานุษยวิทยา เช่น Mark Schuller (2012) วิเคราะห์ว่าความเปราะบางของเฮติมีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์อาณานิคม ความยากจน และการพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ระบบความช่วยเหลือที่อิงกับองค์กรป้องกันบรรเทาสาธารณภัยนำไปสู่การเบียดขับเสียงของชุมชนท้องถิ่น และสร้าง “เศรษฐกิจของภัยพิบัติ” (disaster economy) ที่เอื้อประโยชน์ให้กับองค์กรระหว่างประเทศมากกว่าชาวเฮติเอง

2.2 แผ่นดินไหวโกเบ (1995) การรับมือผ่านความเป็นชุมชน แผ่นดินไหวโกเบในญี่ปุ่นปี 1995 ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรับมือภัยพิบัติผ่านโครงสร้างชุมชนท้องถิ่น นักมานุษยวิทยา เช่น Robert Eldridge (1999) วิเคราะห์ว่าเครือข่ายชุมชนและวัฒนธรรมการเตรียมพร้อมในญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูเมืองโกเบ แม้รัฐบาลจะมีบทบาทหลัก แต่ชุมชนท้องถิ่นเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการช่วยเหลือและดูแลผู้ประสบภัย

การเปรียบเทียบระหว่างเฮติและญี่ปุ่น

  • ความพร้อมและการบริหารจัดการ ญี่ปุ่นมีระบบการเตรียมพร้อมและการรับมือที่เป็นระบบ โดยชุมชนมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูและสร้างเครือข่ายช่วยเหลือ ในขณะที่เฮติขาดโครงสร้างพื้นฐานที่เข้มแข็งและพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างชาติเป็นหลัก
  • บทบาทของรัฐและชุมชน: ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการฟื้นฟู ในขณะที่การฟื้นฟูในเฮติมักถูกครอบงำโดยหน่วยงานระหว่างประเทศ ทำให้เสียงของชุมชนท้องถิ่นถูกเบียดขับ
  • ระบบเศรษฐกิจและการเมือง: เฮติได้รับผลกระทบจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่เปราะบางและความไม่เท่าเทียมทางสังคม ส่งผลให้การฟื้นฟูไม่ได้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน ในขณะที่ญี่ปุ่นมีระบบเศรษฐกิจและสถาบันทางการเมืองที่เข้มแข็ง ทำให้สามารถจัดการกับผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า

3. การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ บทบาทของมานุษยวิทยาในการจัดการภัยพิบัติ

3.1 การวิพากษ์การจัดการภัยพิบัติแบบบนลงล่าง (Top-down Disaster Governance) นักมานุษยวิทยาวิจารณ์ว่าการจัดการภัยพิบัติมักถูกกำหนดโดยองค์กรระหว่างประเทศและรัฐบาลกลาง โดยไม่ฟังเสียงของชุมชนท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น Schuller (2012) ตั้งข้อสังเกตว่าการฟื้นฟูเฮติหลังแผ่นดินไหวมักละเลยความรู้ท้องถิ่นและความต้องการที่แท้จริงของชุมชน

3.2 การให้ความสำคัญกับความรู้ท้องถิ่นและภูมิปัญญาพื้นบ้าน มานุษยวิทยาภัยพิบัติเน้นความสำคัญของ local knowledge ในการจัดการความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น การเตือนภัยแผ่นดินไหวในหมู่บ้านชาวพื้นเมืองในชิลี หรือการสร้างบ้านแบบดั้งเดิมในเนปาลที่สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนได้ดีกว่าโครงสร้างแบบตะวันตก

3.3 การฟื้นฟูที่ครอบคลุมมิติสังคมและวัฒนธรรม นักมานุษยวิทยา เช่น Kristin Yarris (2017) เน้นย้ำว่าการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติไม่ควรมองแค่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ แต่ควรฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมที่ถูกทำลายไปพร้อมกัน การเพิกเฉยต่อมิติทางวัฒนธรรมอาจทำให้กระบวนการฟื้นฟูไม่ยั่งยืน

4. บทสรุป การมองแผ่นดินไหวผ่านเลนส์มานุษยวิทยา

  • การศึกษาภัยพิบัติผ่านมุมมองมานุษยวิทยาทำให้เราเข้าใจว่าผลกระทบของแผ่นดินไหวไม่ได้จำกัดอยู่แค่การสูญเสียทางกายภาพ แต่ยังเกี่ยวข้องกับมิติทางสังคม วัฒนธรรม และการเมือง การฟื้นฟูที่แท้จริงจึงต้องฟังเสียงของผู้ประสบภัย เข้าใจความหลากหลายของประสบการณ์ และให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาท้องถิ่น
  • การวิพากษ์โครงสร้างอำนาจในการจัดการภัยพิบัติช่วยให้เราเห็นว่าแผ่นดินไหวไม่ได้เป็นเพียง “ภัยธรรมชาติ” แต่เป็นผลลัพธ์ของความเปราะบางเชิงโครงสร้างที่สะสมมายาวนาน การสร้างความยุติธรรมหลังภัยพิบัติจึงต้องเริ่มต้นด้วยการให้ความสำคัญกับเสียงและประสบการณ์ของผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

ข้อเสนอแนะทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติ

1. การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนท้องถิ่น ชุมชนควรมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ โดยรัฐและองค์กรระหว่างประเทศต้องรับฟังและสนับสนุนความรู้และทรัพยากรท้องถิ่นให้มากขึ้น

2. การพัฒนาแนวทางการจัดการภัยพิบัติที่คำนึงถึงบริบททางวัฒนธรรม การฟื้นฟูและการเตรียมพร้อมต้องคำนึงถึงมิติทางวัฒนธรรม ความเชื่อ และความทรงจำร่วมของชุมชน เพื่อสร้างความยั่งยืนในการฟื้นฟู

3. การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจในกระบวนการฟื้นฟู การจัดการภัยพิบัติไม่ควรเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางสังคม แต่ต้องมุ่งเน้นการสร้างความเป็นธรรมและโอกาสที่เท่าเทียมกันในการฟื้นฟู

4. การให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของผู้ประสบภัยในการกำหนดนโยบาย ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติควรมีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นและกำหนดแนวทางการฟื้นฟู เพื่อให้การจัดการสอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง

5. การผสมผสานความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับภูมิปัญญาท้องถิ่น การจัดการภัยพิบัติควรผสมผสานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เข้ากับความรู้ท้องถิ่น เพื่อให้เกิดระบบเตือนภัยและการฟื้นฟูที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับบริบทเฉพาะถิ่น

6. การวิพากษ์และทบทวนบทบาทขององค์กรระหว่างประเทศ องค์กรระหว่างประเทศต้องหลีกเลี่ยงการครอบงำกระบวนการฟื้นฟู และเปิดพื้นที่ให้ชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทในการตัดสินใจมากขึ้น

7. การสร้างกลไกการตรวจสอบและความโปร่งใสในกระบวนการฟื้นฟู ควรมีระบบตรวจสอบและประเมินผลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อป้องกันการทุจริตและการจัดการที่ไม่เป็นธรรมในการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ


เอกสารอ้างอิง

Bankoff, G. (2003). Cultures of Disaster: Society and Natural Hazard in the Philippines. Routledge.

Douglas, M. (1978). Cultural Theory of Risk and Blame. Routledge.

Eldridge, R. (1999). Community Resilience and Post-Earthquake Recovery in Kobe. Disaster Studies Review.

Oliver-Smith, A. (1999). Theorizing Vulnerability in a Globalized World: A Political Ecology Perspective. Berghahn.

Schuller, M. (2012). Killing with Kindness: Haiti, International Aid, and NGOs. Rutgers University Press.

Shneiderman, S. (2016). Restructuring Life after the Earthquake: Memory and Reconstruction in Nepal. Himalaya Journal of South Asian Studies.

Yarris, K. (2017). Disaster Recovery and the Politics of Compassion. Anthropology Today.

Scroll to Top