
เขียนโดย Aaron Kirshenbaum
วันที่ 4 มกราคม 2025
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
อ้างอิง Opinion | The Earthquake Environmental Justice Advocates Aren’t Talking About | Common Dreams
การรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมที่มาจากพื้นที่ต้นตอของปัญหาจะต้องตระหนักถึงความจำเป็นในการเข้าร่วมรณรงค์ต่อต้านสงครามและผลักดันอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาออกไปจากประเทศซีเรียด้วย
ในวันที่ 15 ธันวาคมของปีที่ผ่านมา ชาวซีเรียนหลายต่อหลายคนในพื้นที่ 500 ตารางไมล์รู้สึกได้ถึงความสั่นสะเทือนที่เทียบเท่าแผ่นดินไหวขนาด 3.0 ริคเตอร์ ภัยพิบัติทางธรรมชาติมักได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลก เมื่อเกิดแผ่นดินไหว นักสังคมสงเคราะห์และสิ่งยังชีพต่างๆก็จะถูกส่งเข้ามาช่วยเหลือ หรือเมื่อเกิดพายุเฮอริเคนขึ้นที่ใดองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมต่างก็ตอบสนองต่อเหตุการณ์และเร่งให้แก้ปัญหาโลกร้อนด้วยการลดการใช้พลังงานฟอสซิลโดยด่วน
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศซีเรียเมื่อวันที่ 15 ธันวาคมนั้นมิใช่แผ่นดินไหว แต่เป็นการโจมตีทางอากาศโดยอิสราเอลอย่างต่อเนื่องที่ทำลายทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อมของชาวซีเรียนในขณะที่ภาวะโลกร้อนก็เลวร้ายลงจากการบริโภคพลังงานฟอสซิล แต่องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นหายไปไหน? หลายองค์กรที่เคยออกมารณรงค์ให้ลดก๊าซเรือนกระจกหลังเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติกลับนิ่งเฉย เพียงแต่ว่าในครั้งนี้มันไม่ใช่ภัยพิบัติทางธรรมชาติอีกต่อไป และประเทศที่ตามปกติแล้วจะส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมนั้นกลับเป็นต้นเหตุของการทำลายล้างนั้นเสียเองเมื่อสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดในซีเรียหลังจากที่อดีตประธานาธิบดีอัสซาดลาออกจากตำแหน่ง โดยมีจุดมุ่งหมายสุดท้ายเพื่อรักษาผลประโยชน์ด้านพลังงานของตนในซีเรีย
ความนิ่งเฉยขององค์กรสิ่งแวดล้อมเมื่อเป็นเรื่องของกองทัพสหรัฐฯนั้นแสดงให้เห็นถึงความไม่ยึดมั่นจริงจังในความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อม เหตุแห่งการนิ่งเฉยอาจมาจากความไม่รู้เท่าทันในแนวความคิดด้านสิ่งแวดล้อมตามแบบฉบับของตะวันตกที่พบเห็นอยู่ทั่วไปหรือความกลัวที่จะถูกตัดความช่วยเหลือด้านทุนหากเลือกข้าวใดข้างหนึ่งอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ผลของการนิ่งเฉยคือบ่อนทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่องค์กรเหล่านี้พยายามสร้างขึ้นมาโดยตลอด
รายงานด้านสิ่งแวดล้อมฉบับเดือนมิถุนายน 2024 ของสหประชาชาติระบุถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซ่าจากการทิ้งระเบิดทำลายระบบนิเวศและแหล่งน้ำโดยอิสราเอล การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มิได้เป็นสาเหตุของการทำลายระบบนิเวศหรือเป็นเหตุการณ์คู่ขนานกับการทำลายระบบนิเวศแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นผลลัพธ์ของการทำลายระบบนิเวศอีกด้วย การทำลายระบบนิเวศเป็นกลยุทธ์หนึ่งเพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ความเสียหายระยะยาวของระบบนิเวศในกาซ่าทำให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะชีวิตไม่อาจดำรงอยู่ได้หากขาดดินที่ใช้เพาะปลูกได้และน้ำสะอาดที่ใช้ดื่มกินได้ และตอนนี้สหรัฐแอเมริกาและอิสราเอลก็พยายามสร้างวงจรแห่งการทำลายล้างซ้ำสองจากที่เคยทำกับเลบานอนมา ไม่ว่าจักรวรรดินิยมตะวันตกและระบบเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนการทำสงครามจะมีความเป็นอยู่อย่างหรูหราบนเลือดเนื้อและน้ำตาของคนชาติอื่นอย่างไรก็ตาม แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกคนรวมทั้งชาวตะวันตกก็จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากโลกถูกทำลายลง เป็นเรื่องที่น่าขันที่เศรษฐกิจทุนนิยมนั้นกำลังกัดกินผู้ที่สร้างมันขึ้นมาเช่นเดียวกัน
120 วันแรกของการเข่นฆ่าในกาซ่าก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากกว่าปริมาณที่ 26 ชาติปล่อย ทุกๆฐานที่มั่นทางทหารที่ตั้งขึ้นทั่วโลกทำความเสียหายให้แก่ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ และตอนนี้สหรัฐอเมริกาและอิสราเอลทำลังหาผลประโยชน์จากความขาดเสถียรภาพทางการเมืองของซีเรียด้วยการรุกคืบเข้าไปในพื้นที่เพื่อตั้งแนวที่มั่นทางทหารต่ออิหร่าน นี่เป็นความคืบหน้าล่าสุดหลังจากที่ได้ก่ออิทธิพลไว้ในภูมิภาคนี้นานนับทศวรรษเพื่ออุตสาหกรรมน้ำมันที่องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมต่างก็พยายามจะยุติ สหรัฐฯขุดเจาะน้ำมันบ่อแล้วบ่อเล่าและทำลายบ้านเรือนของผู้คนไปพร้อมกัน นอกจากนี้ ด้วยการสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา อิสราเอลก็ได้ทิ้งระเบิดในเยเมนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาในขณะที่ฝ่าฝืนข้อตกลงหยุดยิงในเลบานอนอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดควันไฟปกคลุมทั่วทั้งเมืองจนอากาศเป็นพิษจนคนไม่สามารถอาศัยอยู่ได้
หลังจากความล่มสลายของรัฐบาลอัสซาด อิสราเอลเข้ายึดพื้นที่ในซีเรียมากกว่าที่เข้ายึดกาซ่าเสียอีก ยิ่งอิสราเอลและพันธมิตรรุกรานประเทศซีเรียมากเท่าใด ความเป็นอยู่ในระยะสั้นและยาวของชาวปาเลสไตน์ ซีเรียน เลบานอน อิหร่าน และเยเมนก็ยิ่งตกอยู่ในความเสี่ยงเมื่อทั้งชุมชนที่อยู่อาศัยและระบบนิเวศถูกทำลายลงทุกวัน ยิ่งสถานการณ์รุนแรงขึ้นเท่าใด มลพิษทางอากาศก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ความหลากหลายทางชีวภาพ และชนพื้นเมืองก็ยิ่งสูญสิ้นไป
ท่ามกลางสงครามที่เป็นภัยทั้งต่อมนุษยชาติและสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ การรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมหายไปไหนเสีย? เมื่อกองทัพสหรัฐฯซึ่งเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลกและใช้น้ำมัน 4.6 พันล้านบาร์เรลต่อปี (คิดเป็นร้อยละ 77-80 ของการบริโภคโดยหน่วยงานรัฐของสหรัฐอเมริกา) เหล่านักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมโลกนิ่งเฉยกับเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร? เมื่อระเบิดของอเมริกาทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนเทียบเท่ากับแผ่นดินไหว มันจะไม่เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมหรอกหรือ? กลุ่มรณรงค์ที่อ้างว่ารักษ์สิ่งแวดล้อมจะไม่ต่อต้านสงครามในซีเรียและยูเครนได้อย่างไร?
ในเวลาเช่นนี้ กลุ่มรณรงค์ต่อต้านสงครามโดยคนอเมริกันมีความเข้มแข็งที่สุดในหลายทศวรรษ คนอเมริกันส่วนใหญ่ต้องการให้กองทัพหยุดการสู้รบในกาซ่า การรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมที่มาจากพื้นที่บ่อเกิดของปัญหาจะต้องตระหนักถึงความจำเป็นในการเข้าร่วมรณรงค์ต่อต้านสงคราม และจะต้องเพิ่มการรับรู้ของมวลชนเกี่ยวกับอันตรายของการทำสงครามกับอิหร่าน เมื่อเรานึกถึงความเสี่ยงที่มีต่อโลกของเราแล้ว เหล่าองค์กรเพิ่อสิ่งแวดล้อมก็ควรนึกถึงสิ่งแวดล้อมในประเทศซีเรียที่ถูกทำลายโดยสหรัฐอเมริกาและอิสราเอลและตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมเราถึงไม่พูดหรือลงมือทำอะไรสักอย่างกับสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนนี้