
พ่อหลวง (ผู้ใหญ่บ้าน) หมู่บ้านแม่ยางมิ้น ตำบลศรีถ้อย
อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
กล่าวคำขวัญของชนเผ่ากระเหรี่ยงปกากะญอและยังเล่าถึงวิถีชีวิตเรื่องราวของชนเผ่าอีกด้วย
“เราทำฝายกั้นน้ำตั้งแต่สมัยบรรพชน การทำนาเป็นการลดการถางป่า การเผาป่า”
“น้ำกับป่าเป็นของคู่กัน ถ้าไม่มีป่าน้ำจะแห้ง”
พอเรามีป่า ถึงแม้จะเกิดสภาวะแห้งแล้งเราก็มีน้ำสามารถทำนาปรัง
พวกเราดูแลสายน้ำ โดยการทำฝายจากวัสดุธรรมชาตืในชุมชน การทำเสาใช้ไม้เนื้อแข็งในป่าชุมชน
เอาไม้ไผ่มาวางแนวนอน เพื่อให้ทรายเข้าไปในไม้ไผ่ ลักษณะเหมือนการยกพื้นน้ำให้สูงขึ้น ให้น้ำไหลไปสู้พื้นที่ต่ำ
ส่วนหนึ่งต้องตอบสนอง ลักษณะเหมือนฝืนวิถีชีวิตตัวเอง
เป็นการใช้ประโยชน์แบบยั่งยืน ไม่กระทบกัน เราคิดว่าจะทำอย่างไรให้ป่าไม่หมด ทำอย่างไรไม่ให้เกิดการสูญเสีย “ตาน้ำขุนน้ำ ” (แหล่งกำเนิดน้ำ) จะมีการอนุรักษ์
ถึงแม้จะมีป่าชุมชนกับป่าอนุรักษ์ แต่ตรงแหล่งกำเนิดต้นน้ำ แม้จะอยู่ในฝั่งป่าชุมชน เรามีกฎเกณฑ์ว่าห้ามกระทำใด ๆ เหมือนกับป่าอนุรักษ์ เราจะไม่กระทำอะไรที่ส่งผลกระทบตรงแหล่งกำเนิดต้นน้ำที่เป็นผลเสียเด็ดขาด
พวกเรามีการทำไร่หมุนเวียน ซึ่งไร่หมุนเวียนของพี่น้องปกากะญอ ก็เหมือนวนเกษตรผสมผสานแต่อยู่บนพื้นที่สูง เป็นการพักหน้าดินทำให้ดินฟื้นตัวเร็ว พอกลับมาปลูกพืชใหม่ เราไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ย เพราะมันมีปุ๋ยอินทรีย์อยู่ในดินแล้ว
มุมมองของภาครัฐมองว่า “เราไม่สามารถดูแลป่าได้” “ไม่สามารถตอบสนองนโยบายได้”
.
เราอยู่ในป่า เราไม่มีเอกสารสิทธิ์ แต่จะทำอย่างไร ให้รัฐเข้าใจเรา
.
เมื่อรัฐกำหนดนโยบายว่า “จะต้องลดการเผ้าแบบเดิม (การจัดการหน้าดินก่อนเตรียมการเพาะปลูกใหม่)” เพราะเข้าใจว่าการที่เราหากินกับป่า เป็นสาเหตุของเกิดไฟป่า ทั้ง ๆ ไม่ใช่ เราก็จำเป็นที่จะต้องทำตามนโยบายของรัฐ การลดการเผ้าในการเตรียมที่เพาะปลูก เปลี่ยนวิถีชีวิต ปรับการเพาะปลูกพืชที่หลีกเลี่ยงการเผ้า เพื่อยืนยันว่า เราอยู่กับป่า เราดูแลป่าได้ เราตอบสนองนโยบายที่รัฐกำหนด ถึงแม้มันจะฝืนวิถีชีวิตของเรา เราก็ต้องทำ !!
เพราะการลดการเผาทำให้เกิดเชื้อเพลิงที่ทับถมกันเยอะกว่าที่เราเผาแบบเดิม และจะทำให้เกิดไฟป่าง่ายขึ้นจากนโยบายการลดการเผาไร่ของรัฐ
การเผาไร่หมุนเวียนคือการลดเชื้อเพลิงและเพิ่มจุลินทรีย์ให้กับดิน แถมยังเป็นปุ๋ยธรรมชาติ เราไม่ต้องใช้สารเคมีในการทำการเกษตร นี่คือวิถีชีวิตของเรา
พ่อหลวงกล่าวอีกว่า “เรามีการเผาตั้งแต่บรรพชนจะไม่มีการใช้สารเคมี เป็นการเตรียมพื้นที่ทำกิน เพื่อการเพาะปลูกใหม่ เป็นวิถีชีวิต”
อีกทั้งหมู่บ้านของเราทำแนวกันไฟรอบ ๆ ป่า ไม่ให้เกิดไฟไหม้ป่าตั้งแต่ ปี 2536 เมื่อมีการถางไร่ เราจะไม่ถางวันเดียวกันทุกบ้าน บ้านไหนถางหญ้าก่อน ก็ต้องทำแนวกันไฟเพื่อเผา เตรียมพื้นที่การเพาะปลูกก่อน เพื่อไม่ให้ไฟไหม้ลุกลามพื้นที่ของคนอื่น
แต่ปัจจุบัน หลายแปลงแทบจะไม่ได้เฝ้า เพราะว่าจะเปลี่ยนจากการปลูกข้าวไร่เป็นการปลูกกล้วยแทน
เราเปลี่ยนวิถีชีวิตมาทำไร่กล้วย ปลูกส่วนลำไยแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการเผาไหม้ ตามนโยบายของรัฐ
ฉะนั้นเอง ชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่กับป่า มีวิถีปรับตัวกับธรรมชาติที่คนในเมืองยังไม่เข้าใจวิถีชีวิต แต่ก็พยายามสื่อสารว่าพวกเราได้ดูแลป่ามาช้านาน และสามารถอยู่กับป่าดูแล อนุรักษ์ป่าได้ยั่งยืน