THAI CLIMATE JUSTICE for All

สิทธิของธรรมชาติกับโลกทัศน์ชนพื้นเมือง ความเหมือน ความต่าง และบทเรียนเพื่อการอยู่ร่วมกับโลก

เมื่อโลกกำลังเผชิญวิกฤตสภาพภูมิอากาศ การล่มสลายของความหลากหลายทางชีวภาพ และการกัดกร่อนของระบบนิเวศในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สังคมโลกเริ่มหันกลับไปตั้งคำถามพื้นฐานว่า มนุษย์ควรอยู่ร่วมกับโลกอย่างไร สองแนวคิดที่โดดเด่นในเวทีโลกเวลานี้คือ “สิทธิของธรรมชาติ” (Rights of Nature) และ “โลกทัศน์ของชนพื้นเมือง” ซึ่งต่างเสนอคำตอบที่ทรงพลังในแบบของตนเอง ทั้งสองแนวคิดล้วนยืนหยัดต่อกรกับวิธีคิดแบบมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (anthropocentrism) แต่ในขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นความแตกต่าง ความย้อนแย้ง และศักยภาพของการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างระบบความคิดต่างวัฒนธรรม

โลกทัศน์ของชนพื้นเมืองในหลายภูมิภาคทั่วโลก เช่น ชาวเคชัวในเทือกเขาแอนดีส ชาวไอนุในญี่ปุ่น ชาวกะเหรี่ยงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือชาวโฮปีในอเมริกาเหนือ ล้วนมีมุมมองร่วมกันที่ว่า ธรรมชาติคือญาติ ไม่ใช่ทรัพยากร ธรรมชาติมีจิตวิญญาณ มีเจตจำนง และมีศักดิ์ศรีในตัวเอง แม่น้ำคือแม่ ภูเขาคือบรรพชน ป่าไม้คือลมหายใจของชีวิต ความสัมพันธ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงนามธรรมทางศาสนา แต่คือระบบความรู้ที่หล่อหลอมชีวิต ผ่านภาษา พิธีกรรม ศิลปะ และกฎเกณฑ์ชุมชนที่ดำรงอยู่ข้ามรุ่น มนุษย์ไม่ได้อยู่เหนือธรรมชาติ หากเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายแห่งชีวิตที่ต้องร่วมดูแลและรักษาสมดุลอย่างละเอียดอ่อน

ในขณะที่แนวคิดสิทธิของธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นในบริบทของโลกตะวันตก กลับมุ่งเปลี่ยนสถานะของธรรมชาติจาก “วัตถุ” ไปสู่การเป็น “บุคคลตามกฎหมาย” โดยเสนอว่า ธรรมชาติควรมีสิทธิเช่นเดียวกับมนุษย์ เช่น สิทธิในการดำรงอยู่ การฟื้นฟูตัวเอง และการดำรงดุลยภาพของระบบนิเวศ แนวคิดนี้เกิดขึ้นเพื่อเป็นกลไกต่อต้านการทำลายธรรมชาติจากระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมและกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถคุ้มครองโลกธรรมชาติได้อย่างแท้จริง บทความ “Should Trees Have Standing?” ของนักกฎหมาย Christopher D. Stone ในปี 1972 ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของแนวคิดนี้

หลายประเทศนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้ในระดับกฎหมาย เช่น เอกวาดอร์เป็นประเทศแรกที่บัญญัติสิทธิของธรรมชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ (2008) โดยได้รับอิทธิพลจากปรัชญา Sumak Kawsay ของชนพื้นเมืองอันเดียน โบลิเวียตามมาด้วยการออกกฎหมายแม่ธรณี (Law of Mother Earth) ในปี 2010 ภายใต้รัฐบาลของ Evo Morales ผู้นำชนเผ่า Aymara นิวซีแลนด์ในปี 2017 ได้ประกาศให้แม่น้ำวานกันนุย (Whanganui River) เป็นบุคคลตามกฎหมาย โดยให้รัฐและชนเผ่าเมารีมีสิทธิร่วมในการจัดการ และในอินเดีย ศาลรัฐอุตตราขัณฑ์เคยประกาศให้แม่น้ำคงคาและยมุนาเป็นบุคคลทางกฎหมายในปีเดียวกัน

แม้แนวคิดสิทธิของธรรมชาติจะมีรากฐานที่ต่างจากโลกทัศน์ชนพื้นเมือง แต่ทั้งสองล้วนเห็นตรงกันว่า ธรรมชาติมีคุณค่าในตัวเอง และมนุษย์มีพันธกิจในการอยู่ร่วมกับโลกโดยไม่เบียดเบียนเธอ แนวคิดทั้งสองต่างปฏิเสธการมองธรรมชาติเป็นเพียงเครื่องมือหรือวัตถุสำหรับการบริโภคมนุษย์ และต่างก็เรียกร้องให้ฟังเสียงของธรรมชาติ ไม่ว่าจะผ่านภาษาแห่งจิตวิญญาณหรือถ้อยคำแห่งกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ความย้อนแย้งปรากฏชัดในหลายประเทศที่แม้จะนำแนวคิดสิทธิของธรรมชาติมาใช้ในกฎหมาย แต่กลับดำเนินนโยบายที่ขัดกับวิถีของชนพื้นเมือง ในเอกวาดอร์ แม้รัฐธรรมนูญจะรับรองสิทธิของธรรมชาติ แต่โครงการสกัดน้ำมันและเหมืองแร่ในดินแดนของชนพื้นเมืองยังคงขยายตัว และคำร้องของชนเผ่ามักไม่ได้รับการเคารพอย่างแท้จริง (Gudynas, 2011; Acosta, 2013) ในโบลิเวีย รัฐบาลกลับใช้กฎหมายแม่ธรณีเพื่อควบคุมพื้นที่ของชนพื้นเมือง เช่น กรณีการตัดถนนผ่านเขตอนุรักษ์ TIPNIS ซึ่งชาวเผ่าพื้นเมืองคัดค้านมาโดยตลอด (Fabricant & Postero, 2013)

ในทางกลับกัน กรณีนิวซีแลนด์นับเป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความสอดคล้องอย่างลึกซึ้ง ระหว่างแนวคิดสิทธิของธรรมชาติกับโลกทัศน์ของชนพื้นเมือง รัฐได้เจรจาและยอมรับความเชื่อของชนเผ่า Whanganui iwi ที่มองแม่น้ำเป็น Tupuna (บรรพชน) และจัดตั้งระบบการปกครองร่วมที่ชนเผ่ามีอำนาจตัดสินใจจริง (Hutchison, 2014) ขณะที่ในอินเดีย การให้สถานะบุคคลแก่แม่น้ำคงคาและยมุนาแม้จะสอดคล้องกับความศรัทธาทางศาสนา แต่กลับไม่มีการปรึกษาชุมชนท้องถิ่นอย่างแท้จริง และคำพิพากษาก็ถูกยกเลิกภายหลังโดยศาลสูง กลายเป็นเพียงการยอมรับในระดับสัญลักษณ์เท่านั้น (Alvarez, 2018)

สิ่งที่ปรากฏชัดจากกรณีเหล่านี้คือ การประกาศสิทธิของธรรมชาติในระบบกฎหมายสมัยใหม่ ไม่อาจถือเป็นการปกป้องธรรมชาติได้อย่างแท้จริง หากขาดการคืนอำนาจให้แก่ชุมชนท้องถิ่นที่เป็นผู้ดูแลธรรมชาติอยู่เดิม บ่อยครั้ง รัฐใช้ภาษาของชนพื้นเมืองเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับนโยบายอนุรักษ์ แต่กลับกลืนเสียงของชนเผ่าไว้ในระบบราชการและศาลที่ไม่ยอมรับวิธีคิดแบบองค์รวมของพวกเขา

นอกจากนี้ แนวคิดสิทธิของธรรมชาติยังเผชิญกับข้อวิจารณ์ทางปรัชญาว่า แม้จะพยายามต่อต้านแนวคิดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง แต่ยังยึดกรอบคิดเรื่อง “สิทธิ” ที่เป็นผลผลิตของยุโรปยุคแสงสว่าง ซึ่งเน้นการแบ่งแยกสิ่งมีชีวิตออกเป็นปัจเจกที่มีสถานะทางกฎหมายแยกจากกัน แตกต่างจากวิธีคิดแบบองค์รวมของชนเผ่าพื้นเมืองที่เน้นความสัมพันธ์ ความสมดุล และความรับผิดชอบต่อกันมากกว่าการอ้างสิทธิในเชิงกฎหมาย (Shiva, 2005)

หากจะสร้างแนวทางร่วมระหว่างสองโลกทัศน์ แนวคิดสิทธิของธรรมชาติจึงต้องไม่เป็นเพียงการให้สิทธิแก่ธรรมชาติในเชิงกฎหมายเท่านั้น แต่ต้องเปิดพื้นที่ให้ความรู้แบบชนพื้นเมืองเป็นแกนกลางของกระบวนการ เช่น การจัดทำระบบปกครองร่วมที่ให้ชนเผ่ามีอำนาจจริงในการจัดการพื้นที่ของตนเอง การยอมรับระบบความรู้และจารีตประเพณีเป็นส่วนหนึ่งของกลไกทางกฎหมาย รวมถึงการออกแบบนโยบายอนุรักษ์ที่ตั้งอยู่บนความสัมพันธ์มากกว่าการควบคุม

ท้ายที่สุด โลกอาจไม่ต้องการแค่ “สิทธิของธรรมชาติ” แบบที่มนุษย์ร่างขึ้น แต่อาจต้องการให้มนุษย์กลับมาเป็น “ญาติของธรรมชาติ” อีกครั้ง เพราะในความเงียบของป่า ความไหลของน้ำ และความสงบนิ่งของภูเขา มีปัญญาที่ระบบกฎหมายยังฟังไม่ออก แต่ผู้คนดั้งเดิมฟังและปฏิบัติต่อสิ่งนั้นเสมอมา


เอกสารอ้างอิง

Acosta, A. (2013). The Rights of Nature: The Case for a Universal Declaration. Fundación Pachamama.

Alvarez, J. E. (2018). “The Rights of Nature: A New Paradigm for Environmental Protection?” Environmental Law Review, 20(4), 263–282.

Fabricant, N., & Postero, N. (2013). “Sacrificing Indigenous Rights in the Name of Development: The TIPNIS Conflict in Bolivia.” Latin American Perspectives, 40(5), 123–144.

Gudynas, E. (2011). “Buen Vivir: Today’s Tomorrow.” Development, 54(4), 441–447.

Hutchison, C. (2014). “The Whanganui River as a Legal Person.” Alternative Law Journal, 39(3), 179–182.

Shiva, V. (2005). Earth Democracy: Justice, Sustainability and Peace. Zed Books.

Stone, C. D. (1972). Should Trees Have Standing? Toward Legal Rights for Natural Objects. Southern California Law Review, 45, 450–501.

Scroll to Top