
1. บทนำ ในบริบทของวิกฤตสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แนวคิดใหม่ๆ ที่ท้าทายฐานคิดแบบเดิมในระบบกฎหมายและนโยบายได้เริ่มเกิดขึ้น หนึ่งในแนวคิดที่โดดเด่นคือ “Earth Jurisprudence” หรือ “ปรัชญากฎหมายโลกธรรมชาติ” ซึ่งมุ่งเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของระบบกฎหมายมนุษย์ให้ยึดถือและสอดคล้องกับกฎของธรรมชาติ แนวคิดนี้เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับแนวคิด “สิทธิของธรรมชาติ” (Rights of Nature) แต่มีรากฐานและเป้าหมายที่ลึกกว่า โดยเป็นการวางโครงสร้างใหม่ให้กับแนวคิดเรื่องสิทธิ ความยุติธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
2. ที่มาและพัฒนาการของ Earth Jurisprudence Earth Jurisprudence ได้รับการพัฒนาในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 โดยนักนิเวศปรัชญา Thomas Berry ซึ่งเสนอว่ามนุษย์ควรมองตนเองเป็นส่วนหนึ่งของ “ชุมชนโลก” (Earth Community) มากกว่าผู้ควบคุมธรรมชาติ เขาเสนอว่าระบบกฎหมายของมนุษย์ต้องสอดคล้องกับ “Great Jurisprudence” หรือกฎแห่งธรรมชาติ (laws of the Earth) แทนที่จะตั้งอยู่บนอำนาจของมนุษย์เพียงฝ่ายเดียว (Berry, 1999)
ภายหลัง Cormac Cullinan ได้นำแนวคิดนี้มาพัฒนาต่อในเชิงกฎหมายผ่านหนังสือ Wild Law (Cullinan, 2002) โดยเสนอว่าเราต้องยกร่างระบบกฎหมายใหม่ที่เคารพ “สิทธิของโลก” และไม่ละเมิดขอบเขตของระบบนิเวศ แนวคิดนี้ได้รับอิทธิพลจากทั้งจริยธรรมเชิงนิเวศ โลกทัศน์ชนพื้นเมือง และแนวคิด post-humanist ซึ่งตั้งคำถามต่อระบอบความรู้แบบตะวันตกที่มองธรรมชาติเป็นวัตถุหรือทรัพยากร
3. หลักการสำคัญของ Earth Jurisprudence Earth Jurisprudence มีหลักคิดสำคัญที่แตกต่างจากระบบกฎหมายสมัยใหม่แบบอิงอำนาจมนุษย์ ได้แก่ การยอมรับว่าโลกธรรมชาติมีระเบียบและสิทธิโดยตัวมันเอง มนุษย์เป็นเพียงหนึ่งในสมาชิกของชุมชนโลก ไม่ใช่ผู้ปกครองธรรมชาติ ระบบกฎหมายของมนุษย์ควรตั้งอยู่บนแนวทางของธรรมชาติ ไม่ใช่ยืนเหนือธรรมชาติ และแนวคิดความยุติธรรมควรครอบคลุมถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะมนุษย์เท่านั้น อีกทั้งยังเสนอให้เปลี่ยนมุมมองจากการควบคุมไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างเคารพและสมดุล แนวคิดนี้ยังสอดคล้องกับญาณวิทยาแบบพหุภพ (pluriversal epistemology) ที่ยอมรับความหลากหลายของระบอบความรู้ โดยเฉพาะของชนพื้นเมือง เช่น แนวคิด Pachamama ในอเมริกาใต้ หรือวิธีคิดของชาว Māori ที่ว่า “ข้าคือแม่น้ำ และแม่น้ำคือข้า”
4. ความสัมพันธ์กับแนวคิด Rights of Nature แนวคิด Earth Jurisprudence และ Rights of Nature มีความเชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้น โดย Rights of Nature เป็นการนำ Earth Jurisprudence ไปประยุกต์ในระดับกฎหมายเชิงรูปธรรม กล่าวคือ Earth Jurisprudence เป็นกรอบแนวคิดต้นน้ำที่เสนอให้เราปฏิรูประบบกฎหมายทั้งระบบให้เคารพโลกธรรมชาติ ขณะที่ Rights of Nature เป็นกลไกปลายน้ำที่บัญญัติให้สิ่งแวดล้อมแต่ละส่วน เช่น แม่น้ำ ป่า หรือภูเขา มีสถานะทางกฎหมายในฐานะ “ผู้มีสิทธิ” สามารถถูกฟ้อง หรือฟ้องร้องแทนได้
อย่างไรก็ตาม ความต่างสำคัญคือ Earth Jurisprudence มุ่งเปลี่ยนกระบวนทัศน์กฎหมายในเชิงลึกทั้งระบบและวิธีคิด ส่วน Rights of Nature เน้นการสร้างเครื่องมือทางกฎหมายเฉพาะที่ใช้งานได้จริง แม้จะเปลี่ยนแปลงช้ากว่า แต่ Earth Jurisprudence มีเป้าหมายที่ลึกซึ้งและครอบคลุมกว่าในระยะยาว
5. ตัวอย่างการนำไปใช้ในทางกฎหมายและนโยบาย ในหลายประเทศ แนวคิดนี้ได้รับการนำไปใช้ทั้งในเชิงนโยบายและกฎหมาย เอกวาดอร์เป็นประเทศแรกที่บรรจุ Rights of Nature ไว้ในรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2008 โดยอิง Earth Jurisprudence เป็นแนวคิดหลัก และศาลรัฐธรรมนูญของประเทศนี้เคยตัดสินคุ้มครองแม่น้ำ Vilcabamba โดยอ้างสิทธิของธรรมชาติเป็นหลัก โบลิเวียออกกฎหมาย Mother Earth Law ในปี 2010 ที่ผสานวิถีชนพื้นเมืองกับ Earth Jurisprudence พร้อมทั้งตั้งกระทรวงเพื่อแม่โลกโดยเฉพาะ ในขณะที่นิวซีแลนด์ให้สถานะ “บุคคลตามกฎหมาย” แก่แม่น้ำ Whanganui โดยอิงจากโลกทัศน์ของชนเผ่า Māori ซึ่งยืนยันว่ามนุษย์กับแม่น้ำคือสิ่งเดียวกัน สำหรับกรณีโคลอมเบีย ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แม่น้ำ Atrato มีสิทธิทางกฎหมาย โดยมีชุมชนชนพื้นเมือง Embera เป็นผู้คุ้มครองแม่น้ำอย่างเป็นทางการ
6. ข้อวิพากษ์เชิงอำนาจและข้อถกเถียง แม้แนวคิด Earth Jurisprudence จะมีศักยภาพในการเปลี่ยนโครงสร้างกฎหมายและความสัมพันธ์มนุษย์–ธรรมชาติ แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงหลายประการ เช่น การตั้งคำถามว่าใครควรเป็นผู้แทนทางกฎหมายของธรรมชาติ และตัวแทนนั้นจะมีความน่าเชื่อถือหรือผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ อีกทั้งในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม แนวคิดนี้อาจขัดแย้งกับหลักทรัพย์สินและสิทธิเศรษฐกิจแบบเสรี นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่รัฐหรือภาคธุรกิจจะใช้แนวคิดนี้ในเชิงสัญลักษณ์โดยไม่เปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจริง หรือกลายเป็นเครื่องมือของ greenwashing และยังมีข้อจำกัดในการบังคับใช้ในเขตอำนาจที่ระบบยุติธรรมยังเน้นสิทธิมนุษย์เป็นศูนย์กลาง
7. โอกาสและข้อเสนอเชิงนโยบายในบริบทไทย ในบริบทประเทศไทย Earth Jurisprudence สามารถเป็นกรอบแนวคิดสำคัญที่เสริมพลังให้กับสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญ และการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติในระดับท้องถิ่น โดยควรส่งเสริมให้ท้องถิ่นสามารถออกเทศบัญญัติหรือข้อบัญญัติที่รับรองสิทธิของธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ป่า ภูเขา หรือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนควรได้รับการรับฟังผ่านกลไกผู้แทนจากชุมชนพื้นถิ่น นอกจากนี้ ควรเชื่อม Earth Jurisprudence เข้ากับระบบกฎหมายจารีตของกลุ่มชาติพันธุ์ สร้างพื้นที่การเรียนรู้ การสื่อสาร และการบูรณาการในมหาวิทยาลัยหรือหลักสูตรกฎหมายสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการบังคับใช้ผ่านกลไกศาลปกครองหรือศาลสิ่งแวดล้อมที่มีมุมมองแบบองค์รวม
8. สรุป Earth Jurisprudence คือแนวคิดที่เสนอมุมมองใหม่ต่อระบบกฎหมาย โดยตั้งอยู่บนฐานคิดว่าธรรมชาติไม่ใช่ทรัพยากร แต่คือผู้มีสิทธิและเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนโลก แนวคิดนี้ท้าทายระบบกฎหมายดั้งเดิม และชี้ให้เห็นว่าเราต้องเปลี่ยนจากการเป็นผู้ควบคุมธรรมชาติไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างเคารพและสมดุล โดย Rights of Nature คือการนำแนวคิดนี้มาปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งมีทั้งศักยภาพและข้อจำกัดที่ต้องจับตาและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับโลกและในบริบทของไทยเอง
เอกสารอ้างอิง
Berry, T. (1999). The Great Work: Our Way into the Future. Bell Tower.
Cullinan, C. (2002). Wild Law: A Manifesto for Earth Justice. Green Books.
Burdon, P. (2011). “The Great Jurisprudence: The emergence of Earth Jurisprudence in the 21st century”. Legal Studies Research Paper Series.
Kauffman, C. M., & Martin, P. L. (2018). Can Rights of Nature Make Development More Sustainable? World Development, 119.
Chapron, G., Epstein, Y., & Chapron, D. (2019). “A Rights Revolution for Nature”. Science, 363(6434), 1392–1393.
Escobar, A. (2018). Designs for the Pluriverse: Radical Interdependence, Autonomy, and the Making of Worlds. Duke University Press.
Shiva, V. (2005). Earth Democracy: Justice, Sustainability, and Peace. South End Press.