
บทความนี้เสนอการวิพากษ์เชิงลึกต่อการเคลื่อนไหวด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาครัฐ ธุรกิจ และนักวิชาการ โดยชี้ให้เห็นว่าแม้จะมีพัฒนาการทางเทคโนโลยีและการกำหนดเป้าหมาย Net Zero แต่การเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ยังขาดแก่นแกนทางจิตวิญญาณ ความรัก ความเคารพ และสายสัมพันธ์ที่แท้จริงกับธรรมชาติ
บทความวิเคราะห์รากของการแยกมนุษย์ออกจากธรรมชาติผ่านโครงสร้างความรู้แบบทุนนิยม อาณานิคม และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ พร้อมเสนอว่าการกลับคืนสู่สายใยแห่งชีวิตและโลกธรรมชาติ ไม่ใช่เพียงมิติทางวัฒนธรรม แต่เป็นการเมืองเชิงอภิปรัชญาที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนผ่านในยุค Anthropocene
กรอบสังเคราะห์ สามชั้นของการขาดจิตวิญญาณในยุคโลกร้อน
การขาดจิตวิญญาณในการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันสามารถเข้าใจได้ผ่านกรอบสามชั้นที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง:
1. ระดับแนวคิด โลกทัศน์แบบแยกส่วน (reductionism) มนุษย์เป็นศูนย์กลาง (anthropocentrism) และการมองธรรมชาติเป็นวัตถุทางวิทยาศาสตร์ ทำให้เกิดการจัดการธรรมชาติแบบไร้วิญญาณ
2. ระดับโครงสร้าง กลไกของรัฐ ตลาด และมหาวิทยาลัยที่แปลงธรรมชาติให้เป็นทรัพย์สิน เช่น การซื้อขายคาร์บอนเครดิต นโยบาย Net Zero และกรอบ ESG
3. ระดับประสบการณ์ การออกแบบเมือง การศึกษา และชีวิตประจำวัน ที่ทำให้ผู้คนแยกขาดจากธรรมชาติ ไม่ได้สัมผัสลมหายใจของโลก จนเกิดความเหงาเชิงระบบและการตายด้านทางหัวใจ
กรอบนี้เปิดเผยว่าการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างต้องควบคู่กับการเปลี่ยนผ่านภายในจิตวิญญาณของมนุษย์
1. สถานการณ์การเคลื่อนไหวที่กลวงเปล่า ในยุคที่วิกฤตภูมิอากาศเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เร่งด่วนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ การตอบสนองจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาควิชาการกลับเน้นไปที่ตัวชี้วัดเชิงเทคนิค เช่น ปริมาณการลดคาร์บอน ดัชนี ESG หรือแผน Net Zero มากกว่าที่จะฟังเสียงของโลกธรรมชาติ หรือของผู้คนที่มีความผูกพันกับผืนดิน
แม้จะมีการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมมหาศาล แต่ในเชิงลึกแล้ว การเคลื่อนไหวกลับปราศจากจิตวิญญาณ ขาดความสั่นไหวทางหัวใจ และตัดขาดจากรากของชีวิต
2. จิตวิญญาณคืออะไรในบริบทวิกฤตภูมิอากาศ คำว่า “จิตวิญญาณ” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความเชื่อทางศาสนาเท่านั้น หากแต่หมายถึงความรู้สึกลึกซึ้งของการดำรงอยู่ร่วมกับโลกธรรมชาติ มันคือความรัก ความเคารพ และการยอมรับว่าธรรมชาติไม่ใช่สิ่งแปลกแยกจากเรา แต่คือเครือญาติ คือบ้าน และคือเนื้อเดียวกับชีวิตมนุษย์
การเคลื่อนไหวที่ขาดจิตวิญญาณคือการเคลื่อนไหวที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนความสัมพันธ์นี้ แต่เป็นการจัดการธรรมชาติเหมือนระบบวัตถุที่แยกออกจากมนุษย์
3. โครงสร้างความรู้และอำนาจที่ตัดขาดจิตวิญญาณ
3.1 วิทยาศาสตร์แบบแยกส่วนและโลกทัศน์ Descartes–Newton ระบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่เติบโตภายใต้โลกทัศน์แบบกลไก (mechanistic worldview) ได้ลดทอนธรรมชาติให้กลายเป็นเพียงชุดของวัตถุที่สามารถวิเคราะห์ แยกส่วน และควบคุมได้ วิธีคิดนี้ทำให้มนุษย์รู้สึกว่าตนเป็นผู้เหนือธรรมชาติ และไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณกับสิ่งแวดล้อม
3.2 ทุนและรัฐสมัยใหม่ ความสัมพันธ์แบบวัตถุ–ผู้จัดการ ในยุคทุนนิยม ธรรมชาติถูกเปลี่ยนเป็นทรัพย์สิน และทุนเชิงนิเวศ เช่น คาร์บอนเครดิต น้ำ หรือบริการระบบนิเวศ สิ่งนี้นำไปสู่การออกแบบนโยบายที่มองธรรมชาติในฐานะสินทรัพย์ที่ต้องบริหารจัดการ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ควรได้รับการเคารพ
3.3 ความเงียบของภาควิชาการ แม้แนวคิดใหม่ๆ เช่น post-humanism หรือ multispecies justice จะเริ่มถูกพูดถึงในบางสาขาวิชา เช่น มานุษยวิทยาสิ่งแวดล้อม วรรณกรรมเปรียบเทียบ และปรัชญาร่วมสมัย แต่ในระดับหลักสูตรทั่วไปของมหาวิทยาลัย แนวคิดเหล่านี้ยังคงเป็นสิ่งชายขอบ และมักไม่ได้รับการเชื่อมโยงกับชีวิตจริงของผู้เรียน
การเรียนเรื่อง Anthropocene หรือ post-human บางครั้งยังคงอยู่ในกรอบทฤษฎีแบบนามธรรม หรือถูกนำเสนอแบบตัดขาดจากความรู้เชิงประสบการณ์ ผู้เรียนอาจเข้าใจประเด็นเชิงปรัชญาแต่ไม่รู้สึกถึงความสูญเสีย ความรัก หรือการผูกพันกับธรรมชาติอย่างแท้จริง เพราะไม่มีการฝังตนหรือสัมผัสตรงกับโลกธรรมชาติ
การเรียนรู้ที่เปลี่ยนหัวใจจึงต้องเชื่อมทฤษฎีกับประสบการณ์ ใช้ร่างกาย ความรู้สึก และการมีส่วนร่วมกับผืนดิน ลม น้ำ และต้นไม้ ไม่ใช่แค่การอ่านหรืออภิปรายในห้องเรียนเท่านั้น
แม้แนวคิดใหม่ ๆ เช่น post-humanism หรือ multispecies justice จะเริ่มถูกพูดถึง แต่วิธีการผลิตความรู้ในมหาวิทยาลัยยังคงให้คุณค่ากับสิ่งที่วัดได้ แปลงเป็นดัชนีได้ มากกว่าความรู้ที่ฝังตัวในความสัมพันธ์และประสบการณ์ตรงกับธรรมชาติ
4. ความวิบัติของความรู้โดยไม่มีจิตวิญญาณ
4.1 Green Grabbing และ Natural Based Solution (NBS) ที่ละเมิดความสัมพันธ์ของผู้คนกับแผ่นดิน หลายโครงการที่อ้างว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น Nature-Based Solutions กลับกลายเป็นกระบวนการแย่งชิงทรัพยากร (green grabbing) โดยไม่ยอมรับสิทธิของชุมชนท้องถิ่นหรือชนพื้นเมืองที่ดูแลผืนดินมาหลายชั่วอายุคน
4.2 จริยธรรมที่ไม่มีหัวใจ ESG ที่ไม่พูดถึงความเศร้า การเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยดัชนี ESG หรือ SDGs อาจดูมีจริยธรรม แต่กลับไม่มีพื้นที่สำหรับความเศร้า การไว้อาลัย หรือความรู้สึกสูญเสียต่อสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลาย เป็นจริยธรรมที่ไม่มีหัวใจ
4.3 กรณีไทย ความเงียบของรัฐต่อจิตวิญญาณของพื้นที่ ในหลายกรณีในไทย เช่น เขื่อนแม่น้ำโขง การตัดถนนในป่าต้นน้ำ หรือโครงการชดเชยคาร์บอน ล้วนไม่ได้ฟังเสียงของผีป่า ผีฟ้า หรือพิธีกรรมที่ชุมชนใช้เชื่อมโยงกับพื้นที่ ซึ่งสะท้อนถึงการตัดขาดจิตวิญญาณออกจากนโยบาย
5. จิตวิญญาณที่ขาดหาย = สังคมที่ป่วยไข้
5.1 เยาวชนที่รู้สึกไร้อนาคตเมื่อโลกถูกทำให้เย็นชา เมื่อระบบการศึกษาและการสื่อสารเรื่องสิ่งแวดล้อมตัดจิตวิญญาณออกไป เด็กและเยาวชนจะรู้สึกว่าโลกคือภาระที่ต้องจัดการ ไม่ใช่สิ่งที่น่ารักและควรรักษา
5.2 สุขภาพจิตกับการตัดขาดจากธรรมชาติ การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไร้ต้นไม้ ลม และแสงแดด เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นในเมืองใหญ่
5.3 ชุมชนเมืองกับความเหงาเชิงระบบ การออกแบบเมืองที่ไม่เปิดพื้นที่ให้ความสัมพันธ์กับธรรมชาติ ทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกแยกจากโลก และจากกันเอง
6. ภาษานโยบายที่กลืนกินจิตวิญญาณ
6.1 Sustainability คำที่กลายเป็นกลยุทธ์การตลาด คำว่ายั่งยืนถูกใช้ในทุกสิ่งตั้งแต่เหมืองแร่จนถึงบริษัทน้ำมัน ความหมายของมันจึงแยกขาดจากความสัมพันธ์และจิตวิญญาณ
6.2 Conceptual Box “Net Zero” ในฐานะกลไกหลบเลี่ยงความรับผิด ไม่ใช่การกลับคืนความสัมพันธ์ Net Zero กลายเป็นเครื่องมือให้ผู้ปล่อยคาร์บอนมากสุดสามารถใช้เงินซื้อคาร์บอนเครดิต เพื่อแลกเปลี่ยนกับสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไป เป็นกลไกที่สร้างความรู้สึกว่าปัญหาถูกจัดการแล้ว ทั้งที่ในความเป็นจริง ไม่มีการลดการปล่อยจริง
7. ทางออก การเมืองแห่งจิตวิญญาณ
7.1 โลกทัศน์แบบชนพื้นเมือง สิทธิของธรรมชาติ ชนพื้นเมืองจำนวนมาก เช่น กะเหรี่ยง, Māori หรือชาว Kogi มองโลกเป็นเครือญาติ ไม่ใช่ทรัพย์สิน ความคิดเรื่อง “สิทธิของธรรมชาติ” คือการฟื้นคืนสถานะของโลกในฐานะสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่วัตถุ
7.2 การไว้อาลัย ความเศร้า และการฟังเสียงผืนดิน พื้นที่การเคลื่อนไหวควรเปิดให้กับความเศร้า เสียงร้อง และการไว้อาลัย ไม่ใช่แค่ข้อมูลและกราฟ เพราะความเศร้าเป็นรูปแบบหนึ่งของความรัก
7.3 การศึกษาที่สั่นไหวหัวใจ เดินป่า ฟังฝน และนอนดูดาว เราควรสร้างการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ตรง เช่น การเดินป่ากับชาวบ้าน การสังเกตฤดู และการกลับคืนสู่การเรียนรู้ผ่านร่างกายและหัวใจ
8. บทสรุปและข้อเสนอเพื่อการฟื้นฟูจิตวิญญาณในยุค Anthropocene
การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องไม่ใช่แค่เปลี่ยนดัชนี แต่เปลี่ยนวิธีอยู่ร่วมกันของมนุษย์กับโลก ข้อเสนอเชิงรูปธรรมที่ควรพิจารณา ได้แก่
- นำจิตวิญญาณกลับเข้าสู่การออกแบบนโยบาย เช่น EIA หรือการจัดการป่า
- ปฏิรูประบบการศึกษาเพื่อปลูกฝังความสัมพันธ์กับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง
- ให้เสียงกับแม่น้ำ ป่า และสิ่งไม่มีเสียง ในเวทีนโยบาย
บทส่งท้าย ฟังเสียงโลกใหม่
หากเราจะเปลี่ยนผ่านโลกนี้อย่างแท้จริง เราอาจไม่ต้องเริ่มจากนโยบาย แต่เริ่มจากการฟังเสียงใบไม้ การก้มลงแตะพื้นดิน และยอมให้หัวใจของเราสั่นไหวอีกครั้งต่อความงดงามและความเจ็บปวดของโลกใบนี้
เมื่อธรรมชาติไม่ใช่แค่ต้นทุน เมื่อแม่น้ำไม่ใช่เพียงตัวดูดซับคาร์บอน เมื่อป่าไม่ใช่เครดิต แต่เป็นผู้มีชีวิตที่เรารักและเคารพ เมื่อนั้น เราจึงจะสามารถสร้างอนาคตที่มีทั้งความยั่งยืน ความยุติธรรม และความหวังอย่างแท้จริงได้
การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องไม่ใช่แค่เปลี่ยนดัชนี แต่เปลี่ยนวิธีอยู่ร่วมกันของมนุษย์กับโลก ข้อเสนอเชิงรูปธรรมที่ควรพิจารณา ได้แก่
- นำจิตวิญญาณกลับเข้าสู่การออกแบบนโยบาย เช่น EIA หรือการจัดการป่า
- ปฏิรูประบบการศึกษาเพื่อปลูกฝังความสัมพันธ์กับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง
- ให้เสียงกับแม่น้ำ ป่า และสิ่งไม่มีเสียง ในเวทีนโยบาย
เอกสารอ้างอิง
Abram, D. (1996). The Spell of the Sensuous.
Berry, T. (1999). The Great Work: Our Way into the Future.
Capra, F., & Luisi, P. L. (2014). The Systems View of Life.
Cullinan, C. (2002). Wild Law: A Manifesto for Earth Justice.
Escobar, A. (2018). Designs for the Pluriverse.
Fairhead, J., Leach, M., & Scoones, I. (2012). Green Grabbing.
Haraway, D. (2016). Staying with the Trouble.
Krenak, E. (2022). Why Indigenous Peoples are Critical to the Rights of Nature.
Shiva, V. (2005). Earth Democracy.