
เขียนโดย Elizabeth A. C. Rushton, Nicola Walshe, และ Brian J. Johnston
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2025
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
อ้างอิง Towards justice‐oriented climate change and sustainability education: Perspectives from school teachers in England – Rushton – The Curriculum Journal – Wiley Online Library
บทนำ
เป็นที่เข้าใจกันดีว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่รับประกันว่าเด็กและเยาวชนจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่เป็นธรรมในสภาพแวดล้อมที่กำลังเกิดวิกฤติด้านภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม สามสิบปีที่ผ่านมา นักวิชาการได้ทำการศึกษาแนวทางเสริมสร้างความเข้มแข็งและเตรียมความพร้อมให้แก่ประชาชนในสถานการณ์ต่างๆที่เกิดจากภาวะโลกร้อนโดยใช้การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน (Environmental and Sustainability Education (ESE) ไว้อย่างกว้างขวาง แนวทางที่เน้นการลงมือปฏิบัตินี้ประกอบด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งในสี่มิติ มิติแรกได้แก่การศึกษาที่ระดับสุงกว่าการให้ความรู้เกี่ยวกับประเด็นด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมและผลกระทบ สอง การศึกษาควรทำให้ผู้เรียนเข้าใจถึงต้นตอของปัญหา มิติที่สามได้แก่การพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับอนาคตในรูปแบบต่างๆที่แปรผันไปตามทางที่เราเลือก และมิติสุดท้ายคือกลยุทธ์เพื่อการเปลี่ยนแปลง ในหลักสูตรการศึกษาของอังกฤษนั้น หัวข้อภาวะโลกร้อนและความยั่งยืนได้รับการบรรจุไว้ในวิชาวิทยาศาสตร์และภูมิศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยม 1-5 งานวิจัยที่ทำกับครูในอังกฤษพบว่าใช้แนวทางการสอนแบบลงมือปฏิบัติในการศึกษาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน (Climate Change and Sustainability Education (CCSE) แต่ครูยังขาดทรัพยากรและการสนับสนุนจากโรงเรียน กลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนของกระทรวงศึกษาธิการที่เผยแพร่ในปี 2022 เป็นการแทรกแซงทางนโยบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนที่สำคัญที่สุดของอังกฤษในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ในขณะที่กลยุทธ์ดังกล่าวให้ความสำคัญกับงบประมาณและการสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างโรงเรียน แต่การจัดลำดับความสำคัญนี้ขัดแย้งกับงานประจำของครูและนักเรียน สิ่งที่ตามมาคือการเรียกร้องให้ปรับหลักสูตร (ที่กลยุทธ์ไม่ได้กล่าวถึง) ที่จะทำให้ CCSE เป็นมากกว่าวิทยาศาสตร์หรือภูมิศาสตร์ แต่เป็นกรอบการสอนที่ลดความกังวลของผู้เรียนด้วยการให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนและใช้การศึกษาต่อสู้กับวิกฤติ นอกจากนี้ นักวิจัยยังตั้งข้อสังเกตว่ากลยุทธ์ยังขาดคุณค่า ขาดแนวทางแยกการเมืองออกจากเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน ขาดมิติทางเศรษฐกิจ และขาดการปรับหลักสูตร
ในประเทศอังกฤษ ความคิดริเริ่มใหม่ๆอย่างหลักสูตรการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศพยายามอธิบายว่าเราจะรวมเอาวิชาอย่างความยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้าไว้ในหลักสูตรชั้นประถมและมัธยมต้นได้อย่างไรแทนที่จะนำไปไว้ในวิชาวิทยาศาสตร์หรือภูมิศาสตร์ แต่ยังขาดงานวิจัยขนาดใหญ่มาสนับสนุน ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้สามารถเติมช่องว่างที่ขาดหายไปได้ด้วยการสำรวจความคิดเห็นของครูจำนวน 300 คนที่มีต่อ CCSE และลักษณะของการเรียนการสอนวิชานี้ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้เรายังได้นำเอาหลักความเป็นธรรมทางภูมิอากาศเข้ามารวมในการวิเคราะห์ข้อมูลวิจัย ซึ่งทำให้เราเห็นต้นตอของความไม่เป็นธรรมอันได้แก่ลัทธิอาณานิคมและทุนนิยม และทบทวนวรรณกรรมเรื่องความเป็นธรรมทางภูมิอากาศและความยั่งยืนที่เน้นภาคปฏิบัติ แนวทางนี้เป็นสิ่งจำเป็นหากเราต้องการเข้าใจผลกระทบของวิกฤติสิ่งแวดล้อมที่มีต่อการศึกษาเมื่อคำนึงถึงความยากในการแปลงความเชื่อของเราเกี่ยวกับประชาธิปไตยและความเป็นธรรมสู่การลงมือปฏิบัติ เราจะเริ่มด้วยการสำรวจแนวคิดเรื่องหลักสูตรและความเป็นธรรม และความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ
หลักสูตรการศึกษาและความเป็นธรรม
เราให้นิยามแก่หลักสูตรการศึกษาว่าเป็นผลรวมของทรัพยากร ภูมิปัญญา ศาสตร์ ความเข้าใจและภาษาศาสตร์ ตำราเรียนและเครื่องมือที่ใช้ในการเรียนการสอนทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ แล้วจึงเลือกนำมาวางแผนอย่างเป็นระบบ ในอดีตที่ผ่านมา หลักสูตรการศึกษาเป็นช่องทางที่สืบทอดลัทธิอาณานิคมที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งรวมถึงการกดขี่ แบ่งแยกชนชั้น และลบล้างความเชื่อหรือองค์ความรู้บางประการโดยลัทธิอาณานิคมใหม่ของชาติตะวันตก ดังนั้นหลักสูตรแบบเดิมจึงถูงสร้างขึ้นจากระบบการศึกษาในหลายๆพื้นที่ให้เป็นแนวปฏิบัติในสังคมโดยได้รับอิทธิพลจากจุดประสงค์ที่แตกต่างกันและโดยกลุ่มคนที่แตกต่างกัน หลักสูตรที่เน้นสอนความเป็นธรรมจะต้องรวมเอาบทบาทของการลบล้างความเชื่อหรือองค์ความรู้บางประการที่เกิดขึ้นในอดีตและทำให้เกิดชนกลุ่มชายขอบเพื่อให้นักเรียนได้ข้อมูลและประสบการณ์จากชนทุกกลุ่มและขจัดความไม่เป็นธรรมที่เกิดจากเสียงที่มีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นและพัฒนาทักษะการคิดอย่างเป็นเหตุผลให้แก่นักเรียนด้วยการตั้งคำถามว่าแต่ละเสียงเป็นตัวแทนของกลุ่มไหนและเสียงของใครที่ขาดหายไป
การทำความเข้าใจกับหลักสูตรในฐานะที่เป็นพื้นที่ที่แนวคิดและอิทธิพลต่างก็แสดงบทบาทของตนเองออกมาและเกิดขึ้นจากแรงผลักทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองสะท้อนให้เห็นถึงผลประโยชน์ของกลุ่มอิทธิพล Riddle ได้เสนอแนวคิดสร้างหลักสูตร ‘Knowledge + Plus’ ที่ผสมผสานประสบการณ์ของนักเรียนจากชุมชนของตนเองเข้ากับความรู้ทางวิชาการ (ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าความรู้ที่ทรงพลัง) หลักสูตร Knowledge + Plus นี้ตั้งอยู่บนหลักการความเป็นธรรมทางสังคมด้านการจัดสรรทรัพยากร การให้การรับรอง และการมีส่วนร่วม ที่จะทำให้นักเรียนได้รับประสบการณ์มากมายในการเรียนการสอน หลักสูตรความเป็นธรรมด้วยการรับรองหมายถึงหลักสูตรที่เป็นรูปธรรมสำหรับชนทุกหมู่เหล่าที่มีวัฒนธรรม ประวัตศาสตร์ และระบบการศึกษาที่แตกต่างกันที่นำมาเชื่อมโยงกันและเปิดโอกาสให้นักเรียนนำเอาประสบการณ์ในชีวิตจริงของตนเองมาแบ่งปันและสร้างพลเมืองตื่นรู้ ประการสุดท้าย หลักสูตรความเป็นธรรมด้วยการมีส่วนร่วมทำได้ด้วยการฟังเสียงทุกฝ่ายรวมถึงนักเรียนและชุมชนในการออกแบบหลักสูตร การทำความเข้าใจหลักสูตรความเป็นธรรมเป็นกรอบที่จำเป็นในการสำรวจการสอนของครูในบริบท CCSE ต่อมาจึงพิจารณาแนวคิดความเป็นธรรมในบริบทของการศึกษาและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (อ่านต่อครั้งต่อไป)
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การศึกษา และความเป็นธรรม
ในการทบทวนวรรณกกรมชุดหนึ่งพบว่าหลักสูตรและตำราเรียนในยุคหลังมีการใช้สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์มาอธิบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากแนวทางเดิมที่ใช้วิทยาศาสตร์และภูมิศาสตร์มาอธิบาย กล่าวคือมีการเปลี่ยนโฟกัสของการศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากดาวพระเคราะห์มาเป็นมนุษย์ นอกจากนี้ยังมีการโฟกัสไปที่พลัง (เช่นการสนับสนุนความเท่าเทียม) ว่ามีอิทธิพลสูงกว่าสถานที่ และนำไปสู่ข้อสรุปว่าวัตถุประสงค์ของการศึกษาความเป็นธรรมทางสังคมนั้นได้รับความนิยมมากว่าวัตถุประสงค์ทางสิ่งแวดล้อมและชีวภาพ ประการสุดท้าย การศึกษาจำนวนหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงโอกาสและสถานที่ที่เหมาะสมต่อการลงมือปฏิบัติในระดับชุมชนเพื่อตอบสนองต่อภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสอดคล้องกับงานของ Jensen (2002) ที่ว่ากรอบการศึกษาในปัจจุบันมุ่งเน้นเพียงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ซึ่งเป็นปัญหาเมื่อคำนึงว่าการศึกษาควรสร้างความเข้มแข็งให้แก่นักเรียนและทำให้พวกเขาค้นหาทางเลือกในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นธรรม ในขณะที่แนวคิดเรื่องความเป็นธรรมทางภูมิอากาศเพิ่งจะได้รับความสนใจจากนักวิจัยการศึกษาของอังกฤษ (รวมถึงสก็อตแลนด์) เมื่อเร็วๆนี้ การเรียนการสอนเรื่องนี้ในอังกฤษก็ยังจำกัด มีเพียงสองวิชาที่สอนใน (CCE) และทั้งสองวิชาสำหรับนักเรียน ไม่ใช่สำหรับครู ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงพยายามแก้ไขช่องว่างนี้
ในการตรวจสอบการศึกษาเรื่องความเป็นธรรมทางภูมิอากาศในอังกฤษและสก็อตแลนด์นั้นพบว่าองค์ความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความเป็นธรรมทางภูมิอากาศบางเรื่องที่นักการศึกษาพิจารณาว่าสุดโต่งหรือเป็นอุดมคติเกินไปนั้นขาดหายไป ผลก็คือหลักสูตรขาดองค์ความรู้ที่ถูกมองว่าไม่เหมาะสมอย่างข้อวิจารณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในนโยบาย CCSE ที่ก้าวหน้าของสก็อตแลนด์และนโยบายที่อนุรักษ์นิยมกว่าของอังกฤษ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยที่ทำกับครูและนักเรียนก่อนหน้านี้ที่สรุปว่าเราต้องมองว่าการให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจเป็นอันดับหนึ่งคือความผิดพลาดในการศึกษาเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน พูดได้อย่างกว้างๆว่า การศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เป็นธรรมจะต้องให้ความสำคัญกับกลุ่มคนที่ไม่มีส่วนทำให้เกิดปัญญาแต่กลับได้รับผลกระทบมากที่สุดอันเนื่องมาจากความไม่เท่าเทียมทางสังคม Kagawa and Selby เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในหลักสูตร CCE เพื่อชี้ให้นักเรียนเห็นถึงต้นตอของปัญหาโลกร้อนและความเป็นธรรม โดยให้เหตุผลว่า ‘เราจะมีการศึกษาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีธรรมาภิบาลไม่ได้หากขาดวิชาความเป็นธรรมทางภูมิอากาศในชั้นเรียน’ การมองต้นตอของปัญหาผ่านการศึกษาเรื่องความเป็นธรรมทางภูมิอากาศนั้น นักเรียนจะต้องเข้าใจประวัติศาสตร์ของลัทธิอาณานิคม การเหยียดเชื้อชาติ และทุนนิยมที่สืบทอดต่อกันมาและทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมและแนวคิดที่ใช้การศึกษาในปัจจุบันแก้ไขความเข้าใจเหล่านั้นเสียใหม่ ในการวางแผนแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศได้นั้น เราจะต้องตั้งคำถามใหม่ๆแทนที่จะใช้คำถามแบบเดิม ๆ ที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพอย่างเช่น ปัญหาคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร เราต้องทำอะไรบ้านตอนนี้และในอนาคต เราจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร แต่ควรถามว่า ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นที่ไหนอย่างไร และเราจะหยุดยั้งมันได้อย่างไร เป็นต้น
งานวิจัยชิ้นนี้เปิดโอกาสให้เราได้เข้าใจการเรียนการสอนวิชา CCSE ของครูชั้นประถมและมัธยมต้นในอังกฤษในช่วงที่ยังขาดการสนับสนุนในระดับนโยบายชาติ ในเรื่องที่เกี่ยวกับหลักสูตรนั้น เราพบว่าการเรียนการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนมักรวมอยู่ในวิชาวิทยาศาสตร์ภูมิศาสตร์ชั้นมัธยม และกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เรียกร้องให้มีการเรียนการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนในหลักสูตรการศึกษาของชาติ ดังนั้นงานวิจัยจึงพยายามทำความเข้าใจการทำงานของครูในหลักสูตร CCSE เมื่อเริ่มมีการพิจารณาที่จะปรับ CCSE ให้มีความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ คำถามของการวิจัยของเราคือ ‘ในปัจจุบันครูมีการสอนในเรื่องที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนอย่างไรบ้าง?’ และ ‘แนวทางการสอนดังกล่าวได้รวมเรื่องความเป็นธรรมทางภูมิอากาศเข้าไว้ด้วยหรือไม่?’
ระเบียบวิธีวิจัย
เราออกแบบวิธีการเก็บข้อมูล การเลือกกลุ่มตัวอย่าง การกำหนดข้อจำกัดและจริยธรรมการวิจัยก่อนที่จะกำหนดแนวทางวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้
การเก็บข้อมูล
เราเก็บข้อมูลทางช่องทางออนไลน์ แบบสอบถามมีความยาวประมาณ 20–30 นาทีถ้าทำโดยใช้สมาร์ตโฟน ประกอบไปด้วยคำถามปลายเปิดและปลายปิดรวมทั้งหมด 38 ข้อ การให้คะแนนเป็นแบบ 5 คะแนนตามสเกลของ Likert กล่าวคือ 5 = เห็นด้วยอย่างยิ่งและ 1 = ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ในแบบสัมภาษณ์ส่วนที่ 1 กลุ่มตัวอย่างจะได้รับคำถามเกี่ยวกับความคิดเห็นของพวกเขาที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน, ความคิดเห็นเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน (ส่วนที่ 2) ประสบการณ์/มุมมองของพวกเขาที่มีต่อการพัฒนาครู (ส่วนที่ 3) และส่วนสุดท้ายเป็นข้อมูลส่วนตัวรวมถึงการอาชีพของกลุ่มตัวอย่าง ส่วนคำถามหลักที่เป็นหัวใจของการวิจัยมีดังนี้
- คุณรวมเอาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนเข้าไว้ในวิชาที่คุณสอนอย่างไรบ้าง
- คุณได้รับการสนับสนุนให้รวมเอาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนไว้ในการเรียนการสอนของคุณบ้างหรือไม่อย่างไร
- อะไรคือข้อจำกับของการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน
เราคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2022 และขอให้ครูจากทุกโรงเรียนทั่วประเทศ ครอบคลุมทุกวิชาที่มีการเรียนการสอน เข้ามาตอบแบบสอบถามออนไลน์ที่แจกจ่ายลิงก์ให้แก่ครูและนักวิจัยทางสื่อสังคมออนไลน์ของสถาบันและเครือข่ายครูอย่างเช่นเพจสหภาพครูและเพจสมาคมวิชาชีพโดยใช้การจับรางวัลเงินสดเป็นแรงจูงใจเพื่อนำไปใช้จัดหาทรัพยากรที่จะนำมาใช้สอนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนต่อไป
กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยครูจำนวน 870 คน การตอบแบบสอบถามไม่จำเป็นต้องตอบทุกข้อ มีเพียงร้อยละ 60 ของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบส่วนที่ 4 คือข้อมูลส่วนตัวรวมถึงการอาชีพครบทุกข้อ จากร้อยละ 60 ดังกล่าว ร้อยละ 74 เป็นเพศหญิงและร้อยละ 91 เป็นคนผิวขาว ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลประชากรของประเทศอังกฤษที่สำรวจไว้ในปี 2022/2023 ที่พบว่าครูร้อยละ 76 เป็นครุผู้หญิงและน้อยกว่าร้อยละ 10 เป็นชนกลุ่มน้อย (เอเชียและอาฟริกัน) ประสบการณ์การสอนอยู่ระหว่าง 1- 20 ปี และจบหลักสูตรครุศาสตร์จากมหาวิทยาลัยร้อยละ 87 ในการรายงานผลวิจัย เราวิเคราะห์คำตอบของคำถาม 3 ข้อในส่วนที่ 2 จากผู้ที่ตอบคำถามส่วนที่ 4 เพื่อให้สามารถจัดหมวดหมู่คำตอบที่แตกต่างกันได้ แต่จะไม่รายงานข้อมูลส่วนตัวเป็นรายบุคคลเพื่อสงวนความเป็นส่วนตัวของกลุ่มตัวอย่าง
จริยธรรมการวิจัย
งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับอนุมัติโดยคณะกรรมการจริยธรรมหรือ Institutional Ethics Committee ก่อนที่จะเริ่มเก็บข้อมูล และได้แจกจ่ายแบบฟอร์ขอความยินยอมให้ข้อมูลแก้กลุ่มตัวอย่างก่อนการทำแบบสอบถามทุกครั้ง ข้อมูลได้รับการจัดการตามพรบ. GDPR และ DPA ปี 2018 ของประเทศอังกฤษกล่าวคือผู้วิจัยสงวนตัวตนของผู้ตอบแบบสอบถาม ในการคัดเลือกลุ่มตัวอย่าง นักวิจัยได้สุ่มเลือกจากเครือข่ายครูในระดับปัจเจก (เช่นอดีตนักเรียนและครู) และในระดับสถาบัน (เช่นเครือข่ายสถาบันการศึกษา) ดังนั้น กระบวนการคัดเลือกจึงต้องคำนึงว่ากลุ่มตัวอย่างยินดีจะให้สัมภาษณ์หรือไม่ และคำตอบที่ให้จะไม่กระทบกับความสัมพันธ์กับเครือข่ายและสถาบันทั้งในปัจจุบันและอนาคต ประการสุดท้าย เราตั้งข้อสังเกตว่าในขณะที่ข้อมูลประชากรของกลุ่มตัวอย่างสอดคล้องกับลักษณะประชากรของประเทศ แต่ประชากรกลุ่มน้อยเพศหญิงยังไม่ค่อยมีบทบาทในงานบริหารของโรงเรียนนัก ซ฿งอาจเป็นประเด็นด้านความเป็นธรรมในโรงเรียนก็เป็นได้ ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไปในเรื่องความเสี่ยงต่อภาวะโลกร้อนและความไม่เป็นธรรมทางภูมิอากาศที่คนชายขอบได้รับและนักเรียนได้ประสบมา
ข้อจำกัดของการออกแบบงานวิจัย
ข้อมูลที่เก็บได้สะท้อนถึงประสบการณ์ที่กลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามได้ประสบมาแทนที่จะเป็นประสบการณ์ทั่วๆไปของชุมชนครู เมื่อคำนึงว่ากลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามด้วยความสมัครใจกับสิ่งตอบแทนเพียงเล็กน้อย เป็นไปได้ว่าผู้ตอบแบบสอบถามได้ทดลองนำเอาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนไปใช้ในห้องเรียนของตนแล้ว อีกประการหนึ่งได้แก่การที่ช่วงเวลาคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตรงกับการประชุม COP27 ที่ได้รับความสนใจจากมวลชนมากขึ้นจึงอากเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้กลุ่มตัวอย่างเลือกที่จะมีส่วนร่วมในงานวิจัย นอกจากนี้ การสัมภาษณ์ที่จะมีขึ้นในงานวิจัยครั้งถัดไปก็จะทำให้เราเข้าใจประสบการณ์ของครูได้ดีขึ้นกว่าการตอบคำถามในแบบสอบถามทางช่องทางออนไลน์เพียงอย่างเดียว
การวิเคราะห์ข้อมูล
คำตอบของคำถามปลายเปิดทั้งสามคำถามถูกนำไปจัดลำดับในโปรแกรม Excel Spreadsheet คำตอบของแต่ละคำถามนับได้ประมาณ 334-380 คำตอบโดยครูผู้สอนวิชาที่แตกต่างกันอย่างภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ศิลปศาสตร์ บริหารธุรกิจ ประชากรศาสตร์ วรรณคดี เทคโนโลยีและการออกแบบ การละคร เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สารสนเทศและศาสตร์คอมพิวเตอร์ คณิตศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ดนตรี วิทยาศาสตร์การกีฬา สาธารณสุขศาสตร์ สังคมศาสตร์ จิตวิทยาและศาสนา ต่อมานักวิจัยจึงจัดหวมดหมู่ข้อมูลให้เหมาะสมต่อการวิเคราะห์
ด้วยลักษณะของข้อมูล ผู้วิจัยได้เลือกใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ซึ่งประกอบไปด้วยคำตอบจากปัจเจกบุคคลและคำตอบจากการประชุมกลุ่ม และ Coding และเขียนรายงาน รวมเป็นระยะเวลา 3 เดือน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการลูกผสมระหว่างการอนุมานแบบนิรนัยกับอุปมัย (Inductive and Deductive Methods) โดยใช้ข้อมูลจากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวกับทฤษฎีหลักสูตร การศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนในประเทศอังกฤษ และการศึกษาเรื่องความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ เป็นข้อมูลเสริม และเทียบคำตอบของทั้งสามคำถามของผู้ตอบคนเดียวกันแล้วจึงสร้างรูปแบบของข้อมูลขึ้น ขั้นตอนสุดท้าย เราได้นำเอาประสบการณ์ทั้งด้านส่วนตัวและการสอนของครูระดับมัธยมศึกษา มหาวิทยาลัย และนักวิจัยการศึกษามาสร้างรูปแบบของข้อมูล
ผลการวิจัย
ครูส่วนใหญ่ที่ตอบคำถามหลักอย่างน้อย 1 ข้อให้ข้อคิดเห็นที่มีต่อการศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน (Climate Change and Sustainability Education CCSE) โดยยกตัวอย่างจากห้องเรียนของตน ซึ่งแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกคิดว่าแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรที่ตนเองสอนอยู่แล้ว ครูที่ตอบเช่นนี้มักสอนวิชาบริหารธุรกิจ ภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และศาสนาในชั้นมัธยมต้น นอกจากนี้ เนื้อหาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนยังมีอยู่ในการสอบขึ้นชั้นมัธยมปลายในวิชาคหกรรม เทคโนโลยีและการออกแบบ และศาสนา และวิชาขั้นสูงในกลุ่มบริหารธุรกิจ ภูมิศาสตร์ ภาษาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ นอกจากครูที่ระบุว่าการเรียนการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนมีอยู่ในหลักสูตรที่ตนสอนอยู่แล้ว ยังได้ระบุถึงวิชาที่มีเนื้อหาเหล่านี้อยู่อีกด้วยเช่นศิลปศาสตร์และเทคโนโลยีและการออกแบบ ยกตัวอย่างเช่นการใช้วัสดุที่ยั่งยืน ผลกระทบจาการเพิ่มจำนวนประชากร แหล่งพลังงาน และการผลิต ในขณะที่ในชั่วโมงเรียนประวัติศาสตร์ก็มีการพูดถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมและผลที่ตามมา และในชั้นเรียนบริหารธุรกิจก็พูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนในฐานะที่เป็นต้นทุนที่ไม่ได้ถูกรวมไว้ในบัญชีของบริษัท ส่วนในวิชาภูมิศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ครูมองว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนเป็นเนื้อหาหลักของวิชา ยกตัวอย่างเช่นในวิชาภูมิศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนได้รับการพูดถึงโดยกลุ่มตัวอย่างว่าเป็น ‘ส่วนสำคัญของหลักสูตร’, ‘เนื้อหาที่สนับสนุนการสอน’ และ ‘สอดคล้องกับหัวข้ออื่นๆอย่างระบบนิเวศ การอพยพครั้งใหญ่ การผังเมือง และการท่องเที่ยว อย่างเป็นธรรมชาติ’ เช่นเดียวกับวิชาวิทยาศาสตร์ที่เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น ‘ส่วนหนึ่งของหลักสูตรโดยตัวของมันเอง’ และ ‘สอดคล้องกับเนื้อหาหลักเป็นอย่างดี’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องพลังงาน วงจรคาร์บอน และภาวะโลกร้อน นอกจากนี้ครูผู้ตอบคำถามยังได้ให้ข้อมูลแนวทางในการสอน CCSE ที่มุ่งเน้นให้ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและปัญหาที่เกิดขึ้นกับโครงการเพื่อความยั่งยืนต่าง ๆ
ครูกลุ่มที่สองเล่าถึงวิธีการที่พวกเขาปรับเปลี่ยนหลักสูตรที่มีอยู่ให้รองรับแนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน ยกตัวอย่างเช่นในวิชาภาษาอังกฤษ ครูมักเลือกวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนมาใช้สอนภาษา ครูคนหนึ่งบรรยายว่า :
“ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเลือกนิยายวิทยาศาสตร์มาใช้สอนนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 และได้อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับชั้นเรียนเกี่ยวกับ ‘The Stone Gods’ ของ Winterson ซึ่งจุดประกายให้ทุกคนถกกันในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน และในบางครั้งก็นำเอาหัวข้อข่าวมาถกกันว่าภาวะโลกร้อนทำให้อุทกภัยรุนแรงขึ้นได้อย่างไร”
ส่วนครูอีกคนหนึ่งเล่าถึงการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนในชั้นมัธยม :
“ข้าพเจ้าสอนชั้น ม. 1-6 และมักจะเลือกเอาหัวข้อข่าวที่มีแรงจูงใจผู้อ่านสูงมาฝึกให้นักเรียนเขียนเรียงความเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่นบทความของ George Monbiot ในหนังสือพิมพ์ The Guardian ข้าพเจ้าหาข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกต้นไม้จากเว็บไซต์ Woodland Trust ใช้แถลงการณ์ของ Greta Thunberg และ Vanessa Nakate และคำอุทธรณ์ของคนรุ่นใหม่ต่อ COP26”
การสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนในชั้นเรียนภาษาอังกฤษระดับต่างๆยังปรากฏให้เห็นดังต่อไปนี้ :
เมื่อข้าพเจ้าสอนภาษาอังกฤษ ข้าพเจ้ามักยกเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนมาใช้ในสองแนวทาง แนวทางแรกในการสอนวรรณกรรมเกี่ยวกับชีวิตชนบทสำหรับเด็กชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และแนวทางที่สองได้แก่หลักสูตร GCSE English ที่ให้นักเรียนอ่านและเขียนเรียงความเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังพยายามยกเอาประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมในวรรณกรรมที่สอนขึ้นมาถกกับนักเรียนทุกครั้งที่โอกาสอำนวย เช่นเตือนพวกเขาว่าโลกธรรมชาติที่นักเขียนยุคก่อนบรรยายวนั้นมีความสมบูรณ์และหลากหลายทางชีวภาพมากกว่าในยุคปัจจุบันเพียงไร
โดยนัยเดียวกัน ครูสอนคณิตศาสตร์แสดงให้เห็นว่าได้นำเอาเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมาสอยในวิชาคณิตศาสตร์ได้อย่างไร เช่นการใช้ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของจริงมาใช้สอนการพล็อตกราฟพยากรณ์จากข้อมูลในอดีต เทียบความสามารถในการดูดซับคาร์บอนของป่าและเมือง หรือคำนวณ Carbon Footprint ในชั้นเรียนจิตวิทยา ครูชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อพฤติกรรมของปัจเจกและสังคม ในวิชาดนตรี มีครูคนหนึ่งนำเอาหัวข้อ ‘ดนตรีและโลกแห่งธรรมชาติ’ มาสอนในหลักสูตรหลัก 3 หลักสูตรโดยกล่าวว่า ‘หัวข้อนี้จะกระตุ้นให้นักเรียนรักธรรมชาติและสร้างสรรผลงานจากธรรมชาติ’
ครูบางคนนำวิชาสองวิชาขึ้นไปมาใช้สอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน เช่นนำเอาภาษาอังกฤษและภูมิศาสตร์มาสอนร่วมกันทั้งในระดับต้นและระดับสูง เช่น “ข้าพเจ้าสอนภาษาอังกฤษ และเมื่อปีที่ผ่านมาได้รับโอกาสในการทำงานร่วมกับภาควิชาภูมิศาสตร์ในการสอนเรื่อง COP26 นักเรียนของข้าพเจ้าต้องฝึกเขียนเรียงความเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและระบบนิเวศที่เสื่อมโทรม”
ประการสุดท้าย เราพบกลุ่มตัวอย่างส่วนน้อย (n = 4) ที่ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนมิได้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรที่พวกเขาสอน ซึ่งรวมถึงคณิตศาสตร์ที่ครูคนหนึ่งได้อธิบายว่า ‘ไม่มีการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนในวิชานี้’ และอีกคนหนึ่งระบุว่า ‘ข้าพเจ้าเพียงสอนเลขแต่ไม่มีเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนอยู่เลย’ และอีกสอนคนเป็นครูสอนจิตวิทยาและดนตรีที่รายงานว่าไม่มีการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนในชั้นเรียนของตน
CCSE พบความต้องการหลักสูตรการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนที่เน้นการลงมือปฏิบัติโดยสมาชิกชุมชนเอง
เราพบตัวอย่างข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนในหลักสูตรเสริมพิเศษที่มีลักษณะเป็นการลงมือปฏิบัติร่วมกับชุมชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางความรู้และทักษะเพื่อรับมือต่อการเปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่างเช่นการจัดตั้งทีมงาน Audit การใช้ทรัพยากร (กระดาษ อาหาร และ พลังงาน) โดยโรงเรียนที่นำโดยนักเรียนเพื่อให้คำแนะนำเรื่องการประหยัดทรัพยากรแก่ผู้บริหารโรงเรียนและตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ของโรงเรียน ส่วนแนวทางที่เน้นการลงมือปฏิบัติและเสริมสร้างความเข้มแข็งนั้นให้การเรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบอนาคตที่เป็นไปได้ในหลากหลายรูปแบบ ดังเช่นที่ครูคนหนึ่งนำมาใช้ในชั้นเรียน :
“หลังจากที่ได้อ่านบทความเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนและผลกระทบที่มีต่อระบบนิเวศและนำมาอภิปรายในชั้นเรียนแล้ว ข้าพเจ้าได้กระตุ้นให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นและออกแบบอนาคตด้วยตัวเองและอธิบายว่าพวกเขาต้องทำอย่างไรจึงจะได้อนาคตที่พวกเขาต้องการ”
การกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำนี้เชื่อมโยงกับแนวความคิดเรื่องการสื่อสารจากครูสู่นักเรียนที่สนับสนุนให้นักเรียนพัฒนาองค์ความรู้และวิสัยทัศน์ที่ใช้ในการออกแบบนาคต ซึ่งรวมถึงให้โอกาสแก่นักเรียนนำเสนอโครงการของตนแก่ชุมชนและหน่วยงานราชการ ยกตัวอย่างเช่น ครูได้อธิบายว่าบางหลักสูตรสนับสนุนให้นักเรียนเขียนจดหมายถึงสส.เพื่อขอให้แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างฝุ่นควัน โพสต์ลงสื่อสังคมออนไลน์เรียกร้องให้ภาคเอกชนเลิกการฟอกเขียว เขียนจดหมายถึงครูใหญ่เพื่อเสนอแนะแนวทางอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนภายในโรงเรียน หรือแม้แต่เขียนจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อขอร้องให้แก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างเป็นรูปธรรม และจัดการประชุม COP ภาคนักเรียน ที่มีนักเรียนสวมบทบาทเป็นตัวแทนจากประเทศต่างๆและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อร่วมกันหาวิธีแก้ปัญหาที่เป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย
นอกจากการสื่อสารแล้ว ครูยังสนับสนุนให้ชุมชนเข้ามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางความรู้และทักษะเพื่อรับมือต่อการเปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่างเช่น ครูที่เชิญให้สมาชิกชุมชน ผู้ประกอบการท้องถิ่น และกลุ่มอนุรักษ์เข้ามีส่วนร่วมในโครงการของนักเรียน นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับองค์กรภายนอกเพื่อให้เกิดการเรียนการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนในชั้นเรียนของตน เช่นขอการสนับสนุนจาก World Wildlife Fund หรือ United Nations เกี่ยวกับ SDGs หรือสนับสนุนหลักสูตรพิเศษหรือชมรมของนักเรียนที่จะทำให้นักเรียนได้เรียนรู้และมีส่วนร่วมในการลงมือปฏิบัติในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับสากล ตามที่ครูคนหนึ่งได้ให้สัมภาษณ์ว่า :
“เราได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อสิ่งแวดล้อมขึ้น โดยมีทีมนักเรียนคอย Audit เช่นเรื่องประหยัดพลังงานด้วยการปิดไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้ทั่วโรงเรียน จัดหาต้นไม้ที่มีผู้บริจาคเพื่อนำมาปลูกในโรงเรียน จัดงาน ‘Insect Week’ หรือสัปดาห์แห่งแมลงและจัดเสวนาออนไลน์กับศาสตร์จารย์ของมหาวิทยาลัยท้องถิ่น”
ครูบางคนได้อธิบายถึงการจัดการเรียนรู้นอกสถานที่เช่นร่วมกิจกรรมสำรวจสัตว์ป่าหรือปลูกต้นไม้ประจำปีกับหน่วยงานรัฐ กิจกรรมเหล่านี้ที่มีธีมเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและปรับปรุงภูมิทัศน์ของโรงเรียนเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม ‘Eco-days’, ‘Climate Weeks’ หรือ ‘Eco-clubs’ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นอย่างสม่ำเสมอตลอดปีการศึกษาของโรงเรียน
บ่อยครั้งที่ครูใช้กรอบที่เป็นทางการเช่นขององค์กร Eco-Schools Organization หรือ SDGs มาพัฒนาการเรียนการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนในชั้นเรียนของตน โดยทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญภายนอกเพื่อเชื่อมโยงเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนเข้ากับสุขภาวะของคนรุ่นใหม่ตรงๆ ดังนี้ :
“เราทำงานร่วมกับนักสิ่งแวดล้อมและผู้กำกับละครเพื่อออกแบบแนวทางการสอนผู้เรียนนเรื่องวิกฤติสิ่งแวดล้อม การรับมือกับภัยธรรมชาติ และเรื่องสุขภาวะ เป็นการออกแบบในการประชุมเชิงปฏิบัติการในโรงเรียน”
ยังมีครูอีกลายคนที่รวมเอามิติเรื่องสุขภาวะในคนรุ่นใหม่ไว้ในการเรียนการสอนที่มุ่ง ‘สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่สำรวจอารมณ์ของตนที่มีต่อวิกฤติสิ่งแวดล้อมและหาวิธีแก้ไขเพื่อเดินหน้าสร้างอนาคตของตนต่อไป’ ทั้งแนวคิดที่เกี่ยวกับอนาคตและการจัดการอารมณ์ของตนท่ามกลางวิกฤติสิ่งแวดล้อมถูกครุนำมาใช้ในการสอนเพื่อกระตุ้นให้นักเรียน ‘แสดงออกผ่านความกังวลของตน’ เหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ครูเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่นักเรียนของตนไปพร้อมๆกับสอนการลงมือปฏิบัติที่เน้นทำความเข้าใจกลยุทธ์เพื่อการเปลี่ยนแปลง
ประการสุดท้าย แนวคิดเรื่องความเป็นธรรมที่มีครู 4 คนนำมาใช้ในห้องเรียน ซึ่งรวมถึงการสอนความเป็นธรรมทางสังคมในชั้นเรียนวิชาภูมิศาสตร์และความเป็นธรรมทางภูมิอากาศในวิชาศาสนา ยกตัวอย่างเช่นครูคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า ‘ข้าพเข้าได้อุทิศหน่วยหนึ่งของวิชาให้เรื่องความเป็นธรรมทางภูมิอากาศที่ใช้อธิบายเหตุ ผลกระทบ และการตอบสนองต่อภาวะโลกร้อนทั้งในแง่การเมือง ศาสนา และจริยธรรม’ ส่วนครูอีกคนหนึ่งเล่าว่า :
“เราอภิปรายเกี่ยวกับการตอบสนองที่ศาสนามีต่อโลกธรรมชาติและประเด็นความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ เราเขียนเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนรักษ์โลก และเรากระตุ้นให้นักเรียนออกแบบแนวทางต่อสู้กับภาวะโลกร้อนในบริบทของตนเองและนำมาสาธิตวิธีการทำงานในภาคปฏิบัติ”
โดยสรุปแล้ว แม้ว่าจะยังไม่มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับความเป็นธรรมอย่างชัดเจนนัก แต่ก็ได้มีการสอนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในสี่มิติในชั้นเรียนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน และเมื่อเราพิจารณามิติเชิงปฏิบัติการ ชุมชน การสื่อสาร และความเป็นธรรม และเมื่อเราได้สะท้อนถึงอุปสรรคและโอกาสในการเรียนการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนแล้ว เราจะมาดูกันว่าเนื้อหาในการสอนแบบในที่นับเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน
บทอภิปราย
โอกาสและอุปสรรคในการเรียนการสอนเรื่องความเป็นธรรมทางภูมิอากาศและความยั่งยืน
ผลการวิจัยพบว่าครูที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่างๆยังคงให้ความสำคัญต่อการถ่ายทอดองค์ความรู้ในสาขาที่ตนชำนาญในเวลาที่สอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน เนื่องจากเป็นหลักสูตรการศึกษาที่เป็นทางการของประเทศอังกฤษ ผลสำรวจจากครู 300 คนเน้นให้เห็นถึงแนวทางที่แตกต่างกันในการสอนหัวข้อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน ซึ่งส่วนมากเป็นการยกตัวอย่างที่สัมพันธ์กับสาขาวิชานั้นๆ ในการนี้เราจึงใช้หลักการของ Priestley เพื่อจำแนกกลุ่มความรู้และทำความเข้าใจการสอนของครูที่นอกเหนือไปจากบริบททั่วๆไปของหลักสูตร เราใช้วิธีการจำแนกกลุ่มองค์ความรู้เพื่อทำความเข้าใจการสอนหัวข้อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนข้ามสาขาวิชาแทนที่จะเพียงเพื่อสร้างกรอบการศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนสำหรับโรงเรียนแต่เพียงอย่างเดียว การจำแนกประเภทนี้รวมเอาองค์ความรู้เชิงประพจน์ที่สอนอย่างเป็นทางการในหลักสูตรเช่นเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพและภาวะโลกร้อน (วิชาวิทยาศาสตร์) การอพยพและถิ่นที่อยู่ (วิชาภูมิศาสตร์) การปฏิวัติอุตสาหกรรม (ประวัติศาสตร์) การคำนวณต้นทุน (บริหารธุรกิจ) และกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (จิตวิทยา) นอกจากความรู้เชิงประพจน์แล้ว ครูยังได้อธิบายถึงความรู้เชิงกระบวนการเช่นการพัฒนาทักษะและศักยภาพในการรวมเอาองค์ความรู้เข้าไว้ในการสอนหัวข้อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน ยกตัวอย่างเช่นทักษะการเขียนภาษาอังกฤษเพื่อสร้างแรงจูงใจและการวิเคราะห์ข้อมูลในวิชาคณิตศาสตร์ เราจะเห็นความรู้เชิงญาณวิทยาหรือความเข้าใจโครงสร้างและกระบวนการของสหวิทยาการจากคำตอบของครูผู้ที่รวมเอาหัวข้อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนไว้ในการสอนของตนเช่นครูคณิตศาสตร์และครูภูมิศาสตร์ นอกจากประเภทความรู้ที่แตกต่างกันแล้ว การพัฒนาหัวข้อการสอนในโรงเรียนยังมีความซับซ้อนสูงกว่าการคัดเลือกและจัดระเบียบความรู้ ซึ่งหัวข้อวิชาที่สอนในโรงเรียนเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาที่เป็นทางการและมองว่าหัวข้อวิชาเป็นแหล่งทรัพยากรสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาศักยภาพทางปัญญาและจริยธรรมทั้งในระดับปัจเจกและสังคม เมื่อพิจารณาเช่นนี้แล้ว เราจึงสำรวจคำตอบที่ได้จากครูในอังกฤษที่สอนผลกระทบจากภาวะโลกร้อนเชิงกระบวนการ มักเป็นการยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ห่างไกลจากอังกฤษเช่นอุทกภัยในเอเชียใต้ ภัยแล้งในอาฟริกา และหิ้งน้ำแข็งอาร์กติกละลาย มีเพียง 1-2 ตัวอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศเช่นคลื่นความร้อน การยกตัวอย่างเช่นนี้อาจมีเหตุผลที่ดี เนื่องจากมีสื่อการสอนให้ครูได้ใช้มากกว่าและมีลักษณะเฉพาะที่ครูจำเป็นต้องใช้และไม่อาจพบได้ในประเทศ อย่างไรก็ตาม ถ้าความรู้เชิงกระบวนการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีจำกัดก็อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือกระบวนทัศน์ที่ขาดความเป็นธรรมได้ เราจะบรรลุความเป็นธรรมทางภูมิอากาศได้อย่างไรหากหลักสูตรไม่สามารถแสดงให้นักเรียนเห็นถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อนได้อย่างครบถ้วนในทุกบริบท? ดังนั้นองค์ความรู้ที่หลากหลายและการลงมือปฏิบัติในพื้นที่ต่างๆจึงจำเป็นสำหรับนักเรียนที่ต้องการเรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน และถ้าพวกเขาสามารถเรียนหัวข้อนี้ได้จากหลากหลายวิชาเช่นวิทยาศาสตร์ จริยธรรม เศรษฐศาสตร์ และการเมือง พวกเขาจะเข้าใจความซับซ้อนของประเด็นได้ อย่างไรก็ตามก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้นักเรียนเข้าใจเรื่องความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ ซึ่งโรงเรียนควรเสริมหลักสูตรเพื่อการฟื้นฟูเพื่อให้นักเรียน ‘ทำความเข้าใจอดีต ปัจจุบัน และอนาคตทั้งในด้านความเป็นธรรมและการแก้ไขจนกว่าความไม่เป็นธรรมจะหมดไป ซึ่งประเด็นนี้อาจถูกพูดถึงในสถาบันทางสังคมอย่างการศึกษา ที่เป็นตัวกำหนดทิศทางในอนาคตของผู้เรียน’ งานวิจัยนี้พบว่าโรงเรียนยังขาดการสอนเรื่องผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ซึ่งเราถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่จะทำให้นักเรียนเข้าใจผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากความไม่เป็นธรรมแห่งลัทธิอาณานิคมที่จะต้องได้รับการแก้ไขเสียตั้งแต่ปัจจุบันหากเราจะสร้างอนาคตที่ดีขึ้น
ในการศึกษาชั้นมัธยมต้นนั้นพบว่ามีความเข้มข้นในเนื้อหาของหลักสูตรมาก มีการมุ่งเน้นองค์ความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนในฐานะที่เป็น ‘ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน’ ในวิชาวิทยาศาสตร์ อธิบายอย่างกว้างๆได้ว่าองค์ความรู้ในหลักสูตรมักใช้เป็นแหล่งข้อมูลเพื่อการอภิปรายที่ทำให้องค์ความรู้ถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วคือความรู้ทางทฤษฎีและความรู้สำหรับเสริมสร้างประสิทธิภาพ แต่เราสังเกตว่าองค์ความรู้เชิงทฤษฎีมีบทบาทน้อยลงในหลักสูตรเสริมสร้างประสิทธิภาพที่เน้นการสร้างทักษะ และผู้สอนก็มักคิดว่าสามารถพัฒนาทักษะได้โดยไม่ต้องใช้องค์ความรู้เชิงทฤษฎี นอกจากนี้เรายังรับรองแนวทางที่เน้นถ่ายทององค์ความรู้ที่ทำให้เกิดการต่อยอดองค์ความรู้ยิ่งขึ้นไปมากกว่าที่จะใช้องค์ความรู้เพื่อความสำเร็จทางการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นักวิชาการเรียกร้องให้มีวิชานี้ในชั้นเรียนโดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงความล้มเหลวในการสอดแทรกเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไว้ในวิชาอื่นและเพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อหาถูกลดทอนความสำคัญลงไป และใช้แนวทางสหวิทยาการเพื่อ ‘สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ก้าวข้ามอุปสรรคที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนในระดับต่างๆและช่วงเวลาต่างๆ’ งานวิจัยของเราพบว่าครูได้ให้ความสำคัญทั้งต่อหัวข้อวิชาที่ตนสอนและการสอดแทรกเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนไว้ในหลักสูตร (อ่านต่อครั้งหน้า)
นอกจากนี้เรายังได้ทบทวนแนวคิด ‘Knowledge + Plus Curriculum’ ที่ตั้งคำถามถึงที่ทางขององค์ความรู้ท้องถิ่นในหลักสูตรของโรงเรียน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญหากเราต้องการสารตั้งต้นที่จะนำไปสู่ความเป็นธรรมในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน ยกตัวอย่างเช่นใครที่สามารถเข้าถึงทุนเพื่อการศึกษาได้? ทุนของใครที่เรามองเห็นและทรงอิทธิพล? องค์ความรู้มีอิทธิพลต่อสิ่งใด? คำถามเหล่านี้กระตุ้นให้นักออกแบบหลักสูตรคำนึงถึงประเภทขององค์ความรู้ในการเรียนการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน จากการวิเคราะห์แนวทางการสอนของครูพบว่ามีการพัฒนาทักษะให้แก่นักเรียนในหลายมิติ อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบว่ามีครูที่ใช้ทุนทางองค์ความรู้ท้องถิ่นของผู้เรียนเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนได้อย่างชัดเจน ดังนั้นเราจึงต้องมุ่งเชื่อมโยงกระบวนการและองค์ความรู้ด้านกระบวนทัศน์เข้ากับหลักสูตรเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการออกแบบหลักสูตรให้ได้มากที่สุด
กระบวนการเสริมสร้างความเข้มแข็ง : โอกาสและความท้าทายในการสร้างหลักสูตรการเรียนการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนที่เป็นธรรม
จากแนวทางเสริมสร้างศักยภาพในสี่มิติของ Jensen ครูได้เล่าถึงวิธีการที่ตนใช้เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนได้พัฒนาความรู้ ความเข้าใจ และทักษะเพื่อการลงมือปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน เช่นการเน้นสอนวิธีการสื่อสารมุมมองของตนที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน เข้าร่วมอภิปรายในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมและสร้างการเปลี่ยนแปลงต่างๆ แนวทางเสริมสร้างความรู้และทักษะนี้ประกอบไปด้วยการให้ทั้งองค์ความรู้อย่างตรงไปตรงมาและปลูกฝังความคิดและทักษะที่จำเป็นในการอยู่กับสภาพภูมิอากาศในอนาคตอย่างอ้อมๆ ชั้นเรียนเสริมสร้างความเข้มแข็งที่นักเรียนสามารถตั้งคำถามต่อสภาพการณ์ในปัจจุบันได้นั้นยังพูดถึงการเมืองในระบบการศึกษาที่มีมาอย่างยาวนานและกำหนดบทบาทให้ครูที่มีอิทธิพลต่อความคิดทางสังคมและการเมืองดังนี้ : ‘ครูจะต้องสอนให้เห็นถึงข้อดีและข้อเสียของสิ่งต่างๆ และสิ่งต่างๆที่ว่านี้เป็นเพียงโครงการทางการเมือง ลักษณะทางการเมืองของสังคมหนึ่งๆ และความฝันทางการเมือง คำตอบของครูรวมถึงตัวอย่างบทบาทของพวกตนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่นักเรียนด้วยการใช้สื่อกาสอนและหลักสูตรที่เป็นทางการ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็บอกว่ายังขาดกรณีศึกษาเกี่ยวกับความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ ไม่มีการยกตัวอย่างที่เชื่อมโยงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนเข้ากับประเด็นความไม่เป็นธรรมทางภูมิอากาศที่เป็นผลพวกมาจากลัทธิอาณานิคมในอดีต ปัจจุบัน และที่ยังจะมีผลต่อไปในอนาคตหรือเชื่อมโยงความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบข้ามภาคส่วนของความไม่เป็นธรรมทางภูมิอากาศ นอกจากนี้ยังขาดการเรียนการสอนที่ตั้งคำถามต่อโมเดลการเติบโตทางเศรษฐกิจและการเมืองที่กระตุ้นให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นในการศึกษาความเป็นธรรมทางภูมิอากาศและนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กว้างขึ้น ในขณะที่ครูมุ่งเน้นการสอนให้นักเรียนลงมือจัดการทั้งสภาพจิตใจของตนและสภาพแวดล้อมไปพร้อมๆกัน แต่ก็ยังขาดการเชื่อมโยงความกังวลของนักเรียนที่มีต่อภาวะโลกร้อนเข้ากับข้อจำกับของระบบการศึกษาและนโยบายการศึกษาในปัจจุบัน ทว่าผลการวิจัยนี้ก็ไม่ควรลดทอนความพยายามของครูในการทำเช่นนี้หรือในนโยบายการศึกษาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนที่เป็นธรรม แต่ชี้ให้เห็นว่าในขณะที่พื้นฐานของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนที่เป็นธรรมมีความชัดเจนแล้วนั้น ก็จะต้องมีความร่วมมือระหว่างกลุ่มครูด้วยกัน หรือระหว่างครูและนักเรียน นักวิชาการ นักสิ่งแวดล้อม และผู้มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายเพื่อการเรียนการสอนในโรงเรียนด้วย หากผลวิจัยไปไม่ถึงผู้กำหนดนโยบาย ความไม่เป็นธรรมทางภูมิอากาศก็จะไม่หมดไป เช่นความคิดที่ว่าผลกระทบจากภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องที่ไกลตัวจากเยาวชนในประเทศตะวันตก จึงไม่ได้เตรียมความพร้อมให้แก่พวกเขา เป็นต้น
ผู้นำด้านการศึกษาและนโยบายจะต้องสร้างชุมชนยั่งยืนด้วยการออกแบบหลักสูตรการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนที่เป็นธรรม ด้วยวิสัยทัศน์ การวางแผนกลยุทธ์ การจัดสรรทรัพยากร การศึกษา และการขับเคลื่อนนโยบาย ผู้นำจะต้องเตรียมความพร้อมให้แก่นักเรียนให้เข้าใจถึงประเด็นปัญหาและทำหน้าที่ของประชาชน ผู้นำประเภทนี้จะบ่มเพาะชุมชนเพื่อการเรียนรู้ที่ความเป็นธรรมและความยั่งยืนมิได้เป็นเพียงวิชาหนึ่งในโรงเรียนแต่เป็นค่านิยมที่คนรุ่นใหม่ในศตวรรษที่ 21 นำไปใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวันอย่างเป็นรูปธรรม งานวิจัยก่อนหน้านี้ที่ระบุว่าผู้นำด้านการศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนของอังกฤษเน้นย้ำว่าผู้นำสามารถสร้างความริเริ่มเช่นนี้ได้แม้ในบริบทที่มีข้อจำกัดทางนโยบาย วิสัยทัศน์ทางการศึกษาที่กว้างไกลเรียกร้องให้ผู้นำทางการศึกษาสร้างการเปลี่ยนแปลง ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านที่เป็นรูปธรรมนอกเหนือไปจากหน้าที่ให้ความร่วมมือและร่วมรับผิดชอบในระบบการศึกษาในฐานะปัจเจก ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้นำได้แก่การปรับเปลี่ยนการฝึกอบรมครูให้มีการพัฒนาการเรียนการสอนของตนอย่างเป็นสหวิทยาการมากขึ้น และผู้นำด้านการศึกษาและผู้กำหนดนโยบายต้องสนับสนุนให้ครูเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนเป็นพื้นฐานของอาชีพและความรับผิดชอบของตน และความรับผิดชอบนี้ก็จะสะท้อนถึงมาตรฐานเชิงวิชาชีพและนโยบายทางการศึกษาที่จะมากำหนดทิศทางอาชีพของพวกเขาอีกทีหนึ่ง
บทสรุป
จากการพิจารณาแนวทางการเรียนการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนของครูในบริบทของความเป็นธรรมและงานทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับความเป็นธรรมในหลักสูตรของโรงเรียน เราพบว่าครูได้วางองค์ความรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนไว้ที่ศูนย์กลางเพื่อสร้างกระบวนการเสริมสร้างความเข้มแข็ง ซึ่งเป็นกระบวนการที่สร้างพื้นฐานที่แข็งแรงสำหรับการสอนความเป็นธรรมทางภูมิอากาศแม้ว่าจะยังไม่ได้ทำเต็มที่ก็ตาม บทสัมภาษณ์ครูในงานวิจัยสะท้อนถึงความมุ่งมั่นและกระตือรือร้นของครูที่จะสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนแก่เด็กๆโดยมีทั้งเหตุผลส่วนตัวและเฟตุผลทางอาชีพเป็นแรงผลักดัน ตัวกระบวนการสอนเองอาจไม่สะท้อนให้เห็นประสบการณ์ของนักเรียน และเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร ดังนั้นงานของเราจึงเป็นการสำรวจประสบการณ์ของนักเรียนที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนในประเทศอังกฤษ นอกจากนี้เรายังพบว่าครูในอังกฤษยังพยายามสกัดเอากระบวนการสอนเช่นนี้ออกมาในขณะที่นักออกแบบนโยบายยังมองการเรียนการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนในมุมมองที่ค่อนข้างแคบ ถ้าเราจะให้นักเรียนทุกคนได้รับการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน ระบบการศึกษาของอังกฤษจะต้องบรรจุวิชานี้เข้าไว้ในหลักสูตรเป็นการถาวร และสนับสนุนให้ผู้บริหารของโรงเรียนสร้างวัฒนธรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนในโรงเรียนของตนและสนับสนุนให้ครูมีการเรียนรู้ในเรื่องนี้ไปตลอดอาชีพ ในขณะที่งานวิจัยก่อนหน้านี้ระบุว่าครูสามารถหาวิธีการของตนเองที่จะรวมเอาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนเข้าไว้ในวิชาที่ตนสอนในขณะที่หลักสูตรยังไม่มีความพร้อมในเรื่องนี้ แต่การเปลี่ยนแปลงทีละเล็กน้อยก็อาจไม่ทันการณ์ต่อวิกฤติสิ่งแวดล้อมที่มีทั้งเรื่องของมลภาวะการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และภาวะโลกร้อน เรายืนยันว่าจุดเริ่มต้นที่สำคัญได้แก่ทำให้แนวคิดเรื่องความเป็นธรรมและการศึกษาด้านความเป็นธรรมทางภูมิอากาศเข้ารวมอยู่ในการเรียนการสอน การฝึกอบรมครู และโปรแกรมสำหรับผู้นำด้านการศึกษา เราเสนอให้มีการทำวิจัยเกี่ยวกับการศึกษาด้านความเป็นธรรมทางภูมิอากาศที่เป็นรากฐานที่สำคัญของหลักสูตรความเป็นธรรมในประเทศอังกฤษในอนาคต เราทราบดีว่าการนำเอาแนวคิดเรื่องการรณรงค์และความเป็นธรรมไปใช้ในบริบทของการศึกษาอาจเป็นเรื่องที่ยากของครู โดยเฉพาะเมื่อมีข้อจำกัดทางนโยบาย ดังนั้นในการฝึกอบรมครู จะต้องมีการเรียนรู้ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างครู ผู้บริหารโรงเรียน นักวิจัยด้านการศึกษา ผู้กำหนดนโยบาย และคนรุ่นใหม่ การฝึอบรมเช่นนี้อาจนำโดยครูผู้เรียนเองเพื่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์กันในระหว่างผู้เรียนและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ท้องถิ่นของแต่ละคน การเรียนรู้ที่ดึงเอาไอเดียเกี่ยวกับหลักสูตรจากครูผู้รับการฝึกอบรมเช่นนี้จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างการเรียนการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนและความเป็นธรรมขึ้นได้ ซึ่งจะนำไปสู่หลักสูตรความเป็นธรรมทางภูมิอากาศและความยั่งยืนชั้นสูงของโรงเรียนที่ประกอบไปด้วยองค์ความรู้ที่หลากหลาย รวมถึงองค์ความรู้ของชุมชนและคนรุ่นใหม่ที่ติดมากับนักเรียน หลักสูตรเช่นนี้จะเป็นตัวแทนเสียงของชุมชนและคนรุ่นใหม่และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้คนรุ่นใหม่ปรับพฤติกรรมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไปตลอดช่วงชีวิตของตน