THAI CLIMATE JUSTICE for All

เมื่อโลกฟ้องรัฐ คำวินิจฉัยประวัติศาสตร์ของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศว่าด้วยภาวะโลกร้อน

(ICJ Advisory Opinion on Climate Change, 23 กรกฎาคม 2025)

“การไม่ลงมือแก้ไขภาวะโลกร้อนไม่ใช่แค่ความเฉยเมยทางนโยบาย แต่คือการละเมิดพันธกรณีทางกฎหมายระหว่างประเทศ”

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) คำวินิจฉัยทั่วไป เลขที่ 187, วรรค 178

จุดเริ่มต้น เมื่อเสียงจากเกาะเล็ก ๆ ไปถึงศาลโลก

ในปี 2021 กลุ่มเยาวชนจากหมู่เกาะแปซิฟิกซึ่งเสี่ยงต่อการจมน้ำเพราะระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ได้เริ่มรณรงค์ผ่านโครงการ Pacific Islands Students Fighting Climate Change (PISFCC) เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาล Vanuatu ขอให้ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ส่งคำถามถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)

คำถามนั้นคือ

รัฐมีพันธกรณีทางกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ ที่จะต้องปกป้องระบบภูมิอากาศ เพื่อคนรุ่นปัจจุบันและคนรุ่นอนาคต

หลังการรณรงค์ที่ได้รับเสียงสนับสนุนจากกว่า 130 ประเทศ ในเดือนมีนาคม 2023 UNGA มีมติเสียงข้างมากให้ส่งคำถามนี้ไปยัง ICJ เพื่อออก “คำวินิจฉัยเชิงแนะนำ” (Advisory Opinion) ซึ่งแม้จะไม่ผูกพันโดยตรง แต่ถือเป็นบรรทัดฐานสูงสุดที่ศาลโลกให้ไว้ และส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อกฎหมายระหว่างประเทศ

คำวินิจฉัยของศาล รัฐมีพันธกรณีที่ชัดเจน ทั้งตามสนธิสัญญา กฎหมายจารีต และสิทธิมนุษยชน

1. ที่มาของพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศ

(1.1) สนธิสัญญาระหว่างประเทศ (Treaty Law)

  • ศาลวินิจฉัยว่า รัฐมีพันธกรณีภายใต้
  • UNFCCC (1992): กำหนดให้รัฐต้องป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างอันตราย (para. 61–70)
  • Kyoto Protocol และ Paris Agreement: แม้จะเน้นเป้าหมายเชิงสมัครใจ (NDCs) แต่ศาลชี้ว่า COP decisions อาจสะท้อน opinio juris ได้หากมีการยอมรับทั่วไป (para. 74–79)
  • UNCLOS ศาลเน้นว่ารัฐมีพันธกรณีต้องปกป้องทะเลจากมลพิษ รวมถึง GHGs ด้วย (para. 91–101)
  • สนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชน: ศาลยืนยันว่า สิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นปัจจัยจำเป็นต่อสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น ชีวิต สุขภาพ ที่อยู่อาศัย (para. 105–115)

(1.2) กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ (Customary International Law)

  • Duty to prevent significant transboundary harm: เป็นกฎหมายจารีตที่ยอมรับในหลายคดี เช่น Trail Smelter (para. 83–90)
  • Duty to cooperate ศาลชี้ว่าเป็นพันธกรณีทางกฎหมาย ไม่ใช่แค่ทางการเมือง (para. 123–128)
  • Due diligence รัฐต้องดำเนินการเชิงรุก เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหาย แม้ความเสี่ยงยังไม่เป็นผลแน่ชัด (para. 95–110)

2. สิ่งที่ศาลเน้นย้ำเป็นพิเศษ

(2.1) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ใช่อาชญากรรม แต่การไม่ควบคุมคือการละเมิด

  • ศาลระบุชัดว่า GHG emissions ไม่ใช่ความผิดโดยตัวมันเอง
  • แต่ การไม่ดำเนินมาตรการ อย่างเหมาะสม เช่น
  • ไม่ออกกฎหมายควบคุม
  • ไม่ติดตามหรือบังคับใช้
  • ไม่ควบคุมเอกชนภายใต้เขตอำนาจ ถือเป็นการละเมิดพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศ (para. 165–170)

(2.2) Due diligence ต้องมีความเข้มข้นสูง (Stringent)

ศาลใช้คำว่า “Stringent standard of due diligence” เพราะ climate change เป็นเรื่องเร่งด่วนและซับซ้อน (para. 102–104) หมายความว่า รัฐต้องทำมากกว่าแค่ “เจตนาดี” แต่ต้อง มีระบบ บังคับใช้ และประเมินทางวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่อง

3. หลักการประกอบที่ศาลใช้ในการตีความ

  • Principle of Sustainable Development ใช้เป็นแนวตีความพันธกรณีในบริบทที่สมดุลกับเป้าหมายการพัฒนา (para. 146–150)
  • CBDR-RC (Common But Differentiated Responsibilities) ศาลรับรองว่า แม้จะมีหน้าที่ต่างกัน แต่ทุกประเทศมีภาระตามขีดความสามารถ (para. 153–158)
  • Precautionary Principle: ศาลย้ำว่าแม้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สมบูรณ์ ก็ต้องดำเนินมาตรการป้องกันไว้ก่อน (para. 144–145)
  • Intergenerational Equity: คนรุ่นปัจจุบันเป็นผู้ดูแลและมีหน้าที่ส่งต่อโลกที่สมบูรณ์ให้คนรุ่นหลัง (para. 135–140)
  • Equity ต้องใช้ในการตีความพันธกรณี เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นธรรม

4. ความรับผิดชอบของรัฐ (State Responsibility)

  • “รัฐที่ละเลยพันธกรณีอาจต้องรับผิดในทางระหว่างประเทศ เช่น การยุติการกระทำ การป้องกันความเสียหายซ้ำ และการชดเชย” (para. 167–170)
  • แม้จะไม่มีการกล่าวถึง “การลงโทษ” โดยตรง ศาลก็เปิดทางให้ประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก climate harm ใช้คำวินิจฉัยนี้เป็นพื้นฐานในการเรียกร้อง

🌏 คำวินิจฉัยนี้เปลี่ยนอะไรในโลก

🔹 สำหรับรัฐ

ต่อจากนี้ ไม่สามารถอ้างว่า climate change เป็นเรื่องสมัครใจหรือขึ้นกับนโยบายภายในอีกต่อไป

การสนับสนุนฟอสซิลโดยไม่ควบคุมอาจถูกมองว่า ละเมิดพันธกรณี

สำหรับภาคประชาชนและศาลท้องถิ่น

สามารถใช้คำวินิจฉัยนี้เป็น ฐานทางกฎหมายในคดีสภาพภูมิอากาศในประเทศ (เช่น Urgenda v Netherlands)

ใช้กดดันในเวที COP และเจรจาระหว่างประเทศ เช่น Loss and Damage Fund

สำหรับนักกฎหมายสิ่งแวดล้อม

ICJ ได้สร้างมาตรฐานใหม่ที่รวม กฎหมายสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน และจารีตสากล เข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน

คำถามที่ยังเปิดอยู่หลังคำวินิจฉัย

จะมีแนวทางคำนวณความรับผิดข้ามพรมแดนอย่างไร หากหลายรัฐร่วมก่อ GHGs

จะมีผลต่อการกำหนด Carbon Budget ของโลกอย่างไร

หลัก “ผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย” (Polluter Pays) ยังไม่ถูกรับรองในคำวินิจฉัยนี้ แล้วจะสร้างแรงจูงใจในการเยียวยาได้อย่างไร

บทสรุป เมื่อกฎหมายเรียกศีลธรรมกลับคืนสู่การเมืองโลกร้อน

คำวินิจฉัยของ ICJ ไม่ใช่แค่เอกสารทางกฎหมาย แต่เป็น ถ้อยคำที่ปลุกความรับผิดชอบระดับโลก

“รัฐทั้งหลายไม่มีสิทธิ์แลกอนาคตของมนุษยชาติกับผลประโยชน์เฉพาะหน้า”

– ICJ, Advisory Opinion 2025

นี่คือก้าวสำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศในการยืนยันว่า

สิ่งแวดล้อมไม่ใช่สิ่งของ แต่คือสิทธิ คือศักดิ์ศรี และคือความยุติธรรมที่ข้ามรุ่น

เครดิตภาพ: WIRED

Scroll to Top