
การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบอาหารที่ยั่งยืนโดยเน้นโปรตีนจากพืชไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพื่อสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อมเท่านั้น หากแต่เป็นการตอบสนองต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และความไม่เป็นธรรมในระบบอาหารโลก
แนวคิดนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นในหลายประเทศที่ตระหนักถึงภาระของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะมีเธนจากปศุสัตว์ และการใช้ทรัพยากรเกินจำเป็น เช่น พื้นที่ น้ำ และอาหารสัตว์ ซึ่งไม่เพียงก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและความเปราะบางของเกษตรกรรายย่อยในหลายภูมิภาคของโลก
ข้อมูลจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ชี้ว่า อุตสาหกรรมปศุสัตว์ทั่วโลกมีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 14.5% ของการปล่อยทั้งหมด (FAO, 2013) โดยเฉพาะมีเธนจากการย่อยอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้องที่มีศักยภาพทำให้โลกร้อนสูงกว่า CO₂ หลายสิบเท่าในช่วงเวลา 20 ปี
เป้าหมายลดคาร์บอนและยกระดับความเป็นธรรมในระบบอาหาร
การส่งเสริมโปรตีนพืชในนโยบายประเทศต่าง ๆ มุ่งสู่สองเป้าหมายหลัก ได้แก่
(1) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคเกษตรผ่านการลดการพึ่งพาเนื้อสัตว์
(2) สร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนและเป็นธรรมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะต่อเกษตรกรรายย่อย ชุมชนผู้ผลิตอาหารพื้นบ้าน และผู้บริโภคกลุ่มเปราะบางที่ยังเข้าไม่ถึงอาหารสุขภาวะ
โปรตีนพืชเพื่อสังคมคาร์บอนต่ำและเป็นธรรม
แนวคิดหลักของโปรตีนพืชในฐานะกลไกการเปลี่ยนผ่าน ไม่ได้จำกัดอยู่ที่มิติของอาหารเพื่อสุขภาพ แต่เน้นการปรับโครงสร้างระบบอาหารเพื่อให้สอดรับกับเป้าหมายการลดคาร์บอนและสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
การลดการพึ่งพาเนื้อสัตว์อุตสาหกรรมหมายถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เข้มข้น ลดการใช้ทรัพยากรน้ำและที่ดิน และช่วยให้เกิดการกระจายทรัพยากรที่เป็นธรรมยิ่งขึ้นในระบบอาหารโลก โดยเฉพาะการส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยที่ผลิตโปรตีนจากพืชพื้นถิ่น
กลุ่มผลักดันและพลังทางสังคม
การผลักดันนโยบายโปรตีนพืชมักเริ่มจากหลายภาคส่วน เช่น นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม องค์กรพัฒนาเอกชนด้านอาหาร ภาคธุรกิจนวัตกรรมอาหาร และเครือข่ายผู้บริโภคที่ตระหนักถึงปัญหาโลกร้อน ตัวอย่างเช่น
- ในเดนมาร์กมีการรวมกลุ่มของ Danish Plant-Based Business Association กับภาคธุรกิจค้าปลีกและโรงเรียนการทำอาหารเพื่อเสนอแผนงานร่วมกับรัฐบาล
- ในอังกฤษ องค์กร School Food Matters และ Sustain UK ทำงานกับรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อกำหนดแนวทางจัดซื้ออาหารพืชอย่างมีมาตรฐาน
- ในขณะที่ในสิงคโปร์ รัฐเป็นตัวขับเคลื่อนหลักผ่านนโยบาย “30 by 30” และการส่งเสริมธุรกิจเทคโนโลยีอาหาร
กระบวนการผลักดัน ยุทธศาสตร์ การลงทุน และการสื่อสาร
ประเทศที่มีความก้าวหน้าในการส่งเสริมโปรตีนพืชมักมีการออกนโยบายอย่างเป็นทางการ จัดสรรงบประมาณในการพัฒนาเทคโนโลยี การแปรรูปอาหาร และการสนับสนุนผู้ประกอบการ รวมถึงการสร้างแรงจูงใจด้านการตลาดควบคู่กับการให้ความรู้และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น
- – เดนมาร์กและเนเธอร์แลนด์ได้ตั้งศูนย์นวัตกรรมอาหารจากพืช การใช้มาตรการทางภาษีสนับสนุนอาหารเพื่อสุขภาพ และการให้ทุนวิจัยกับสตาร์ทอัพด้านเนื้อทางเลือก
- ส่วนสิงคโปร์เน้นการลงทุนในเทคโนโลยีห้องปฏิบัติการเพื่อเร่งรัดการผลิตโปรตีนทางเลือกที่ปลอดภัยและยั่งยืน
การตอบรับทางนโยบายและสังคม
ในเดนมาร์ก รัฐบาลให้การตอบรับเชิงบวก โดยจัดทำ “National Action Plan for Plant-Based Foods” ในปี 2023 และกำหนดงบประมาณสนับสนุนผู้ผลิตนวัตกรรมอาหารจากพืช รวมทั้งวางแผนจัดซื้ออาหารกลางวันในโรงเรียนโดยลดการใช้เนื้อสัตว์
ในขณะที่ประชาชนทั่วไปให้ความร่วมมือสูงจากการรณรงค์เชิงวัฒนธรรมด้านอาหารและสิ่งแวดล้อม
ในเนเธอร์แลนด์ แม้มีนโยบายสนับสนุนวิจัยและพัฒนา แต่ยังเผชิญแรงต้านจากภาคเกษตรอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการประท้วงของเกษตรกรเกี่ยวกับการลดฟาร์มปศุสัตว์ อย่างไรก็ตาม มีการเปิดพื้นที่ให้ชาวนาและผู้ประกอบการรายย่อยมีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบาย เช่น การพัฒนาโมเดลฟาร์มโปรตีนพืชผสมผสานกับการอนุรักษ์
ในสิงคโปร์ การตอบรับอยู่ในระดับนโยบายเชิงรุก โดยรัฐเป็นแกนกลางในการพัฒนาเศรษฐกิจโปรตีนทางเลือก ตั้งแต่การอนุมัติเนื้อเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์เป็นประเทศแรกในโลก ไปจนถึงการสนับสนุนเงินทุนกับสตาร์ทอัพและการกำหนดเป้าหมายผลิตอาหารภายในประเทศ 30% ภายในปี 2030
ในเยอรมนี แม้ยังไม่มีนโยบายแห่งชาติชัดเจนเหมือนเดนมาร์ก แต่รัฐให้การสนับสนุนการวิจัยอาหารจากพืชและให้ทุนแก่ผู้ประกอบการด้านโปรตีนพืช เช่น บริษัทในกลุ่ม Green Protein Alliance นอกจากนี้ ยังมีเมืองใหญ่หลายแห่งนำร่องนโยบายจัดซื้ออาหารพืชในโรงเรียนและโรงพยาบาลของรัฐ โดยภาคประชาสังคมอย่าง ProVeg International มีบทบาทสำคัญในการผลักดันและให้ข้อมูลทางวิชาการแก่สาธารณะ
ในสหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนผ่านขับเคลื่อนโดยภาคเอกชนและเมืองใหญ่ เช่น นิวยอร์กและลอสแองเจลิส ซึ่งมีนโยบายอาหารจากพืชในโรงเรียนและโรงพยาบาล โดยเฉพาะนิวยอร์กซิตี้มีการตั้ง Office of Food Policy และการส่งเสริม Plant-Based Mondays ในโรงเรียนทั่วเมือง ด้านภาคธุรกิจ บริษัทเทคโนโลยีอาหารอย่าง Beyond Meat และ Impossible Foods ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนและผู้บริโภค แต่ยังไม่มีกรอบนโยบายระดับชาติที่บูรณาการการเปลี่ยนผ่านนี้อย่างชัดเจน
สิ่งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ บทเรียนเชิงเปรียบเทียบ
เดนมาร์ก ประสบความสำเร็จในการบูรณาการนโยบายด้านอาหาร พลังงาน และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะการจัดตั้งแผนระดับชาติเพื่ออาหารจากพืช และการได้รับการสนับสนุนจากภาคประชาชนผ่านการให้ความรู้และการมีส่วนร่วมของชุมชน แต่ยังมีความท้าทายเรื่องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในระยะยาวและการทำให้อาหารพืชราคาจับต้องได้สำหรับทุกคน
เนเธอร์แลนด์ มีความก้าวหน้าในนโยบายสนับสนุนวิจัย พัฒนา และเครือข่ายนวัตกรรม แต่ยังไม่สามารถจัดการกับความขัดแย้งระหว่างเป้าหมายสิ่งแวดล้อมและผลประโยชน์ของเกษตรกรอุตสาหกรรมได้อย่างสมดุล
ความสำเร็จคือ การเปิดพื้นที่ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีบทบาท
ส่วนข้อจำกัดคือ การขาดความเป็นธรรมในการเปลี่ยนผ่านสำหรับชาวนาที่ยังพึ่งพาการผลิตเนื้อสัตว์
สิงคโปร์ สำเร็จในเชิงเทคโนโลยีและการสร้างระบบสนับสนุนสตาร์ทอัพ แต่ต้องเผชิญกับคำถามเรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเป็นธรรม และศักยภาพในการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนในมิติชุมชน รวมถึงการกระจายผลประโยชน์จากนวัตกรรมให้ทั่วถึง
เยอรมนี มีความก้าวหน้าในด้านการวิจัยและการสนับสนุนผู้ประกอบการโปรตีนพืช แต่ยังไม่มีนโยบายแห่งชาติที่ครอบคลุม การเปลี่ยนแปลงจึงยังจำกัดในระดับท้องถิ่นหรือกลุ่มธุรกิจ และเผชิญกับอุปสรรคด้านการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคในวงกว้าง
สหรัฐอเมริกา ประสบความสำเร็จในด้านนวัตกรรมและตลาดอาหารทางเลือก แต่การขาดนโยบายระดับชาติเชิงบูรณาการทำให้การเปลี่ยนผ่านกระจุกตัวอยู่ในบางเมืองหรือบางกลุ่มผู้บริโภค ยังไม่มีมาตรการสนับสนุนหรือปรับโครงสร้างสำหรับเกษตรกรที่ต้องการเปลี่ยนมาผลิตโปรตีนพืช
“เราจำเป็นต้องวางระบบอาหารใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่แค่การเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ในซูเปอร์มาร์เก็ต แต่เป็นการเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าอาหารและใครควรเข้าถึงมัน”
มาร์ค เดอ วีท (Mark de Witte), สมาชิกขบวนการ Food Sovereignty, เนเธอร์แลนด์
“โปรตีนพืชไม่ใช่แค่ของคนรวยในเมืองใหญ่ แต่มันต้องเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่เอื้อให้ชาวบ้านในพื้นที่ชนบทมีชีวิตที่ดีขึ้นด้วย” ดร.อลิซาเบธ ฮาวเวิร์ด (Dr. Elizabeth Howard), นักรณรงค์ด้านความเป็นธรรมสภาพภูมิอากาศ, อังกฤษ
“เราภูมิใจที่สิงคโปร์เป็นประเทศแรกที่อนุมัติเนื้อเพาะเลี้ยง แต่มันจะไม่มีความหมายเลยถ้ามันถูกผูกขาดโดยไม่กี่บริษัท เราต้องทำให้มันเป็นของทุกคน” หลี่ เสี่ยวถง (Li Xiaotong), ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพโปรตีนทางเลือก, สิงคโปร์
“แม้เราจะมีเทคโนโลยีล้ำหน้าแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีการปฏิรูประบบจัดซื้อของรัฐหรือการเข้าถึงของประชาชนทั่วไป มันก็เป็นแค่สินค้าเฉพาะกลุ่ม” ดร.ฮันส์ มึลเลอร์ (Dr. Hans Müller), นักวิจัยด้านนโยบายอาหาร, เยอรมนี
“โปรตีนพืชต้องไม่ใช่ทางเลือกของคนรวยเท่านั้น เราต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ให้เกษตรกรเปลี่ยนผ่านได้อย่างมั่นคง” ไมเคิล โจนส์ (Michael Jones), ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายอาหาร, เมืองนิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา
บทเรียนสำหรับประเทศไทย
ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการส่งเสริมโปรตีนพืช โดยเฉพาะจากพืชท้องถิ่นและองค์ความรู้ชุมชนที่มีความหลากหลาย
การเรียนรู้จากต่างประเทศชี้ว่า การเปลี่ยนผ่านนี้ต้องมีทั้งนโยบายระดับชาติเชิงรุกและการสนับสนุนในระดับฐานรากไปพร้อมกัน
ความสำเร็จของเดนมาร์กและสิงคโปร์ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีล้ำสมัยเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความตั้งใจทางนโยบายที่จะลดคาร์บอนและสร้างความเป็นธรรมให้ระบบอาหาร
ในขณะเดียวกัน ความล้มเหลวหรือข้อจำกัดในแต่ละประเทศเตือนว่า หากขาดการมีส่วนร่วมจากชุมชน เกษตรกรรายย่อย หรือหากปล่อยให้กลไกตลาดผูกขาดนวัตกรรม การเปลี่ยนผ่านนี้อาจกลายเป็นการตอกย้ำความเหลื่อมล้ำอีกแบบหนึ่ง
ประเทศไทยจึงควรออกแบบนโยบายที่ไม่เพียงตอบสนองเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม แต่ต้องตอบโจทย์ความเป็นธรรมทางสังคม โดยเฉพาะการสร้างโอกาสให้ผู้ผลิตรายย่อย ผู้หญิง และกลุ่มชาติพันธุ์สามารถมีบทบาทสำคัญในระบบโปรตีนพืชของประเทศ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ควรเป็นแค่เรื่องของอาหารทางเลือก หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูประบบอาหารให้ตอบสนองทั้งสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจฐานราก และสิทธิของผู้คนอย่างแท้จริง
อ้างอิง
FAO (2013). Tackling Climate Change Through Livestock. Food and Agriculture Organization of the United Nations.
Danish Ministry of Food, Agriculture and Fisheries (2023). National Action Plan for Plant-Based Foods.
The Straits Times (2022). Singapore First to Approve Cultured Meat for Sale.
Sustain UK. (2023). Policy brief on Plant-Based School Meals.
ProVeg International. (2023). Local policy initiatives on plant-based food in Germany.
New York City Mayor’s Office of Food Policy. (2023). Plant-Based Nutrition Policies.
Interviews from Food Sovereignty Network, Plant Futures Forum Europe, and CleanTech Startups (2023–2024).