
นาโอมิ ไคลน์ (Naomi Klein) นักเขียน นักเคลื่อนไหว และนักข่าวเชิงสืบสวนชาวแคนาดา ผู้มีชื่อเสียงจากการวิพากษ์ระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์และผลกระทบที่มีต่อผู้คน สิ่งแวดล้อม และประชาธิปไตย เธอเขียนหนังสือสำคัญหลายเล่ม เช่น No Logo (1999), The Shock Doctrine (2007), This Changes Everything (2014), On Fire (2019) และล่าสุด Doppelganger (2023) ผลงานเหล่านี้สะท้อนความพยายามของเธอในการเชื่อมโยงปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเมืองเข้ากับวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่โลกกำลังเผชิญอยู่
วิกฤตสภาพภูมิอากาศในฐานะปัญหาเชิงโครงสร้าง
ไคลน์มองว่าวิกฤตภูมิอากาศไม่ใช่ปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการปรับเปลี่ยนทางเทคนิคหรือเทคโนโลยีเท่านั้น หากแต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึกอยู่ในระบบทุนนิยมเสรีนิยมใหม่ เศรษฐกิจโลกปัจจุบันตั้งอยู่บนตรรกะของการเติบโตอย่างไร้ขอบเขตและการแสวงหากำไรสูงสุด ซึ่งผลักดันให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ เธอเคยเขียนไว้อย่างหนักแน่นว่า “ระบบเศรษฐกิจของเราและระบบดาวเคราะห์ของเรากำลังทำสงครามกันอยู่ พูดให้ตรงกว่านั้นคือ เศรษฐกิจของเรากำลังทำสงครามกับสิ่งมีชีวิตบนโลกแทบทุกชนิด รวมถึงมนุษย์ด้วย” (This Changes Everything, 2014, p.21) นี่เป็นถ้อยคำที่ประกาศชัดเจนว่าโครงสร้างทุนนิยมที่เรามีอยู่ไม่สามารถอยู่ร่วมกับความยั่งยืนของโลกได้
ทุนนิยมวิกฤตและลัทธิช็อก
ก่อนที่จะมุ่งเน้นเรื่องภูมิอากาศ ไคลน์สร้างชื่อจากหนังสือ The Shock Doctrine (2007) ซึ่งอธิบายว่ารัฐบาลและบรรษัทมักฉวยโอกาสจากวิกฤตเศรษฐกิจหรือภัยพิบัติเพื่อผลักดันนโยบายเสรีนิยมใหม่ เช่น การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การตัดงบสวัสดิการ และการเปิดเสรีทางการเงิน แนวทางนี้สร้างสิ่งที่เธอเรียกว่า “ลัทธิช็อก” ที่ประชาชนถูกทำให้อ่อนแอและไร้พลังในการต่อต้าน เมื่อหันมาที่ประเด็นโลกร้อน ไคลน์เห็นรูปแบบเดียวกันซ้ำอีกครั้ง บริษัทพลังงานและเทคโนโลยีจำนวนมากหากำไรจากภัยพิบัติหรือจากมาตรการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศเอง โดยไม่แตะต้องรากของปัญหา นี่คือสิ่งที่เธอเรียกว่า “ทุนนิยมวิกฤต” (disaster capitalism)
ทุนนิยมปะทะภูมิอากาศ
สำหรับไคลน์ กลไกที่ใช้ตลาดเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหา เช่น คาร์บอนเครดิต การซื้อขายสิทธิปล่อยก๊าซ หรือแม้แต่การพัฒนาเทคโนโลยีที่ดูเหมือนจะเป็น “คำตอบมหัศจรรย์” อย่าง geoengineering ล้วนแล้วแต่ไม่เพียงพอ เพราะสุดท้ายมันช่วยให้ทุนนิยมสร้างกำไรจากวิกฤตโดยไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตและการบริโภค เธอเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า “ความจริงที่ไม่สะดวกอย่างแท้จริงก็คือ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องคาร์บอน แต่มันคือเรื่องของทุนนิยม” (This Changes Everything, 2014, p.63) การจัดการกับโลกร้อนจึงไม่อาจแยกขาดจากการจัดการกับระบบเศรษฐกิจการเมืองที่ก่อให้เกิดมัน
อาณานิคมเชิงสิ่งแวดล้อมและความไม่เท่าเทียมระดับโลก
ไคลน์ยังขยายการวิพากษ์ไปถึงความไม่เท่าเทียมระหว่างประเทศ เธอชี้ให้เห็นว่าโลกเหนือ (Global North) ใช้ทรัพยากรของโลกใต้ (Global South) เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาและความมั่งคั่งของตนเอง ขณะที่ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมกลับถูกผลักไปให้ประเทศยากจน ไม่ว่าจะเป็นการขุดเหมืองที่ทำลายระบบนิเวศ การสร้างเขื่อนที่ทำให้ชุมชนท้องถิ่นต้องสูญเสียถิ่นฐาน หรือการใช้พื้นที่การเกษตรเพื่อผลิตพลังงานชีวภาพแทนที่จะปลูกอาหาร ปรากฏการณ์เหล่านี้สะท้อนสิ่งที่ไคลน์เรียกว่า “อาณานิคมเชิงสิ่งแวดล้อม” (climate colonialism) ซึ่งทำให้ประเทศที่ปล่อยก๊าซน้อยที่สุดกลับต้องเผชิญผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุด
การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมและกรีนนิวดีล
ใน On Fire (2019) ไคลน์ผลักดันแนวคิด Green New Deal ที่ไม่ได้หมายถึงเพียงการลงทุนในพลังงานสะอาด แต่คือการออกแบบการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (Just Transition) ซึ่งเชื่อมโยงสิ่งแวดล้อมเข้ากับสิทธิและความเป็นธรรมทางสังคม การเปลี่ยนผ่านเช่นนี้จะต้องสร้างงานที่มั่นคงและเป็นธรรม ยุติการเหยียดเชื้อชาติและความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นในระบบพลังงาน และคืนอำนาจให้แก่ชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะชนพื้นเมืองซึ่งมักเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ ไคลน์กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “ภารกิจของเราไม่ใช่เพียงแค่แทนที่พลังงานสกปรกด้วยพลังงานสะอาด แต่คือต้องสร้างสังคมที่ดูแลคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เพียงคนส่วนน้อย” (On Fire, 2019, p.34)
ขบวนการเคลื่อนไหวคือความหวัง
เมื่อเผชิญกับความเฉื่อยชาของรัฐบาลและความโลภของบรรษัท ไคลน์เห็นว่าความหวังที่แท้จริงอยู่ที่ขบวนการเคลื่อนไหวรากหญ้า เธอเน้นการสร้างพันธมิตรทางสังคมที่เชื่อมโยงแรงงาน ชุมชนพื้นเมือง และขบวนการสิทธิมนุษยชนเข้าด้วยกัน เพื่อกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เธอกล่าวอย่างชัดเจนว่า “มีเพียงขบวนการมวลชนเท่านั้นที่จะบังคับให้รัฐบาลลงมือทำในระดับและความเร็วที่วิกฤตสภาพภูมิอากาศเรียกร้อง” (On Fire, 2019, p.57)
โลกเงาและความจริงบิดเบี้ยว
ในผลงานล่าสุด Doppelganger (2023) ไคลน์หันมาสำรวจ “โลกเงา” ของการบิดเบือนข้อมูลและการเคลื่อนไหวฝ่ายขวาจัด ที่บ่อนทำลายความเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์และประชาธิปไตย เธอมองว่านี่คืออีกด้านหนึ่งของโครงสร้างที่ทำให้การแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศล่าช้าและเปิดช่องให้ทุนใหญ่ยังคงมีอำนาจ การบิดเบือนเช่นนี้ทำให้สังคมหลงทางและไม่อาจมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้อย่างแท้จริง
นาโอมิ ไคลน์ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าวิกฤตภูมิอากาศไม่อาจแก้ไขได้ด้วยการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยหรือหวังพึ่งกลไกตลาด หากแต่ต้องการการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างลึกซึ้ง ซึ่งหมายถึงการท้าทายทุนนิยมเสรีนิยมใหม่ การยุติความไม่เป็นธรรมเชิงสิ่งแวดล้อมและอาณานิคมใหม่ และการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนความเป็นธรรม ความเท่าเทียม และศักดิ์ศรีมนุษย์ สำหรับไคลน์ ความยุติธรรมด้านสภาพภูมิอากาศคือความยุติธรรมทางสังคม และหนทางเดียวที่เป็นไปได้คือการสร้างขบวนการมวลชนที่กว้างใหญ่ เชื่อมโยงการต่อสู้ด้านสิ่งแวดล้อมกับสิทธิและประชาธิปไตยเข้าไว้ด้วยกัน
อ้างอิง
Klein, N. (2014). This Changes Everything: Capitalism vs. the Climate. Simon & Schuster.
Klein, N. (2019). On Fire: The Burning Case for a Green New Deal. Simon & Schuster.
Klein, N. (2007). The Shock Doctrine: The Rise of Disaster Capitalism. Metropolitan Books.
Klein, N. (2023). Doppelganger: A Trip into the Mirror World. Farrar, Straus and Giroux.
Selected articles by Naomi Klein in The Nation and The Intercept.