THAI CLIMATE JUSTICE for All

Jason W. Moore: จาก Anthropocene สู่ Capitalocene – การวิพากษ์ทุนนิยมในฐานะระบบนิเวศโลก

เจสัน ดับเบิลยู. มัวร์ (Jason W. Moore) เป็นนักประวัติศาสตร์สิ่งแวดล้อมและนักทฤษฎีระบบโลก (world-systems theory) ชาวอเมริกัน เขาเป็นศาสตราจารย์ด้านสังคมศาสตร์ที่ Binghamton University และมีบทบาทสำคัญในเครือข่ายนักวิชาการที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทุนนิยมกับสิ่งแวดล้อม ผลงานของเขา เช่น Capitalism in the Web of Life (2015) และบทความ “The Capitalocene” (2016) ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อวงวิชาการ เพราะเสนอกรอบใหม่ที่พลิกวิธีการมองโลกร้อน ไม่ใช่ในฐานะ “ปัญหาของมนุษย์ทั้งหมด” (Anthropocene) แต่เป็นปัญหาที่เกิดจากระบบทุนโดยตรง (Capitalocene)

จาก Anthropocene สู่ Capitalocene

มัวร์เริ่มต้นด้วยการวิพากษ์แนวคิด Anthropocene ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าโลกได้เข้าสู่ยุคที่มนุษย์เป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศ เขาโต้แย้งว่าการใช้คำว่า Anthropocene ทำให้เกิดการ “เหมารวมมนุษยชาติ” และกลบเกลื่อนความจริงที่ว่า ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่สร้างปัญหา แต่คือระบบทุนนิยมสมัยใหม่ที่ใช้ฟอสซิลเป็นพลังงานและผลักภาระไปที่ผู้เปราะบาง ดังนั้นเขาจึงเสนอคำใหม่ว่า Capitalocene เพื่อเน้นให้เห็นว่าโลกร้อนคือผลลัพธ์ตรง ๆ ของโครงสร้างทุน ไม่ใช่ของ “มนุษย์ทั่วไป”

มัวร์ไม่ได้เพียงแค่เปลี่ยนคำศัพท์ แต่เปลี่ยนทั้งกรอบคิด เขาเสนอว่าเราควรมองทุนนิยมไม่ใช่เพียง “ระบบเศรษฐกิจ” แต่คือ ระบบนิเวศโลก (world-ecology) ที่เชื่อมโยงทุน อำนาจ และธรรมชาติเป็นเครือข่ายเดียวกัน การผลิต การค้า และการขยายตัวของทุนนิยมดำเนินไปโดยการจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติใหม่อย่างต่อเนื่อง

แนวคิด “Cheap Nature” และการสะสมทุน

หนึ่งในทฤษฎีหลักของมัวร์คือแนวคิด “Cheap Nature” เขาอธิบายว่าทุนนิยมสามารถขยายตัวได้เพราะมันทำให้สิ่งต่าง ๆ “ถูก” ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน มวลชีวภาพ พลังงาน หรือวัตถุดิบ กระบวนการสะสมทุนจึงขึ้นอยู่กับการหาวิธีใหม่ ๆ ในการกดราคาธรรมชาติและแรงงานให้อยู่ในสถานะที่เอื้อต่อการเก็งกำไรและการเติบโต

เมื่อทุนนิยมเจอกับขีดจำกัดทางสิ่งแวดล้อม เช่น ดินเสื่อมโทรม แร่ขาดแคลน หรือแรงงานต่อต้าน มันจะหาทางออกด้วยการขยายขอบเขตใหม่ ๆ หรือสร้างเทคโนโลยีเพื่อกดต้นทุนลงอีกครั้ง แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เกิด วงจรการทำลายธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง และเป็นต้นเหตุของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

ทุนนิยมในฐานะ “ระบบนิเวศโลก”

สิ่งที่ทำให้งานของมัวร์แตกต่างคือเขาไม่แยก “สังคม” ออกจาก “ธรรมชาติ” แต่เสนอว่า ทุนนิยมคือระบบนิเวศที่มีมนุษย์และธรรมชาติรวมกัน ซึ่งเขาเรียกว่า world-ecology ทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นทั้งกระบวนการทางสังคมและกระบวนการทางนิเวศในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างเช่น การขุดถ่านหินไม่ใช่เพียงกิจกรรมเศรษฐกิจ แต่คือการจัดระเบียบใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างทุน แรงงาน และภูมิทัศน์ทางธรรมชาติทั้งหมด

มุมมองนี้ทำให้มัวร์โต้แย้งกับวิธีคิดแบบ “สิ่งแวดล้อมอยู่ภายนอกเศรษฐกิจ” เขามองว่าการใช้คำว่า “ธรรมชาติ” แบบแยกขาดนั้นเป็นผลผลิตของทุนนิยมเองที่พยายามสร้างเส้นแบ่ง เพื่อกดราคาสิ่งที่อยู่นอกตลาดให้ “ถูก” และนำกลับเข้าสู่กระบวนการสะสมทุน

วิพากษ์การเมืองของโลกร้อน

มัวร์เชื่อว่าการรับมือกับวิกฤตภูมิอากาศไม่อาจอธิบายได้ด้วยกรอบแบบเทคโนแครตหรือกลไกตลาด เขาวิจารณ์ว่าการมุ่งไปที่นโยบายซื้อขายคาร์บอนหรือการพัฒนาเทคโนโลยีอย่าง geoengineering เป็นเพียงการต่ออายุให้ทุนนิยมดำรงอยู่ต่อไป โดยไม่แตะต้องรากของปัญหา คือการสะสมทุนบนฐานของ “ธรรมชาติราคาถูก” สำหรับมัวร์ คำถามที่แท้จริงคือเราจะ สร้างรูปแบบเศรษฐกิจ–นิเวศที่ไม่ทำงานบนฐานของการทำลายธรรมชาติและแรงงาน ได้อย่างไร

ความสำคัญของกรอบคิด Capitalocene

การเสนอให้ใช้คำว่า Capitalocene แทน Anthropocene ของมัวร์ ไม่ได้เป็นเพียงการเล่นคำ แต่คือการวางเดิมพันทางการเมืองและทฤษฎี หากเราบอกว่าวิกฤตโลกร้อนเป็นปัญหาของ “มนุษย์ทั้งหมด” คำตอบก็จะเป็นเพียงการปรับพฤติกรรมส่วนบุคคลหรือพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ แต่ถ้าเรามองว่าเป็นปัญหาของ “ทุน” เราจะต้องเผชิญหน้ากับโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองที่สร้างวิกฤต และนั่นหมายถึงการต่อสู้เชิงระบบ

Jason W. Moore เสนอกรอบคิดที่ลุ่มลึกและพลิกมุมมองการศึกษาโลกร้อนโดยสิ้นเชิง เขาอธิบายว่าทุนนิยมคือระบบนิเวศโลกที่ขยายตัวโดยการทำให้ธรรมชาติและแรงงาน “ถูก” และวงจรนี้คือรากของวิกฤตสิ่งแวดล้อมทั้งหมด การมองโลกผ่าน Capitalocene แทน Anthropocene ทำให้เราเข้าใจว่าโลกร้อนไม่ใช่วิกฤตของมนุษย์โดยรวม แต่เป็นวิกฤตของระบบทุนสมัยใหม่ ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงไม่ใช่เพียงการลดคาร์บอน แต่คือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิต การเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ


อ้างอิง

Moore, J. W. (2015). Capitalism in the Web of Life: Ecology and the Accumulation of Capital. Verso.

Moore, J. W. (2016). “The Rise of Cheap Nature.” In Anthropocene or Capitalocene? Nature, History, and the Crisis of Capitalism. PM Press.

Moore, J. W. (2016). Anthropocene or Capitalocene? Nature, History, and the Crisis of Capitalism. PM Press.

Scroll to Top