
ก่อนหน้าสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ สหรัฐอเมริกาเคยเป็นตัวอย่างสำคัญด้านการสนับสนุนนโยบายอาหารจากพืชและโปรตีนทางเลือก เช่น การอนุมัติผลิตภัณฑ์เนื้อเพาะเลี้ยง และการออกนโยบายทั้งระดับรัฐบาลกลางและระดับรัฐเพื่อส่งเสริมอาหารที่ดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลทรัมป์ขึ้นมา ความพยายามเหล่านี้กลับถูกขัดขวาง ทั้งการถอนตัวจากข้อตกลงปารีสและการไม่ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากระบบอาหาร ข้อดีคือท้องถิ่นสามารถลุกขึ้นมาเป็นผู้นำแทนได้
กรณีศึกษาลอสแอนเจลิส
ในปี 2565–2567 ลอสแอนเจลิสได้ผ่านมติที่บังคับใช้มาตรฐานโภชนาการใหม่ กำหนดให้ทุกสัญญาบริการอาหารต้องมีอาหารจากพืชเป็นจานหลักอย่างน้อยหนึ่งเมนูต่อวัน พร้อมทั้งเสนอนมและเครื่องปรุงจากพืช มาตรฐานยังตั้งเป้าให้อาหารจากพืชมีราคาที่เข้าถึงได้ในสัดส่วน 2:1 เมื่อเทียบกับอาหารจากสัตว์ การวิเคราะห์พบว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่าการเดินทางด้วยรถยนต์หลายล้านไมล์ และมีผลต่อผู้ใช้บริการเกือบ 10 ล้านคน
ตัวอย่างเมืองอื่น ๆ
- ออสติน รัฐเท็กซัส ถือเป็นผู้นำด้านความเสมอภาคทางสภาพภูมิอากาศ โดยตั้งเป้าหมายคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2583 นโยบายอาหารถูกบรรจุไว้ในแผนดังกล่าวอย่างเป็นระบบ ไม่เพียงมีการปรับเมนูอาหารในกิจกรรมสาธารณะของเมือง แต่ยังทำงานเชิงรณรงค์กับร้านอาหารท้องถิ่น ผ่านความร่วมมือ Plant Based for the Planet ซึ่งส่งผลให้ร้านอาหาร 10 แห่งเพิ่มเมนูอาหารจากพืชถาวร ถือเป็นตัวอย่างการเปลี่ยนผ่านที่เริ่มจาก “พื้นที่สาธารณะ” แล้วต่อยอดสู่ “ตลาดเอกชน”
- ลอสแอนเจลิส ไม่เพียงเป็นเมืองใหญ่ แต่ยังเป็นผู้บุกเบิก Good Food Purchasing Program (GFPP) ตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งเป็นกรอบมาตรฐานด้านอาหารที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สุขภาพ สวัสดิภาพสัตว์ แรงงาน และเศรษฐกิจท้องถิ่น GFPP ถูกนำไปใช้กับโรงเรียนและหน่วยงานเมือง ทำให้ลอสแอนเจลิสเป็นฐานทดลองเชิงนโยบาย ก่อนที่แนวคิดจะขยายไปยังเมืองอื่น นอกจากนี้ เมืองยังเข้าร่วมปฏิญญา Good Food Cities Declaration ที่เน้นลดการบริโภคเนื้อและผลิตภัณฑ์นมอย่างชัดเจน
- นิวยอร์ก เป็นตัวอย่างการปรับระบบอาหารภาครัฐครั้งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ในปี 2565 โรงพยาบาลรัฐ 11 แห่งเริ่มใช้นโยบาย “อาหารจากพืชเป็นค่าเริ่มต้น” (DefaultVeg) ส่งผลให้ลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 36% และประหยัดงบประมาณครึ่งล้านดอลลาร์ต่อปี ขณะเดียวกัน โรงเรียนรัฐบาลทั่วเมืองนำโครงการ Meatless Monday และ Plant-Powered Friday มาใช้ ทำให้เด็กหลายแสนคนคุ้นเคยกับการรับประทานโปรตีนพืชในชีวิตประจำวัน นิวยอร์กจึงสะท้อนบทบาทของ “ระบบสาธารณสุข + ระบบการศึกษา” ในการกำหนดพฤติกรรมอาหารระดับสังคม
- วอชิงตัน ดี.ซี แม้เป็นเมืองเล็กเมื่อเทียบกับนิวยอร์กหรือแอลเอ แต่ในฐานะเมืองหลวง วอชิงตัน ดี.ซี. มีอิทธิพลทางสัญลักษณ์สูง การประกาศ Green Food Purchasing Action ในปี 2564 เพื่อลดการปล่อยก๊าซจากอาหาร 25% ใน 5 ปี ส่งสัญญาณชัดว่า “อาหาร” เป็นหนึ่งในเครื่องมือแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศเช่นเดียวกับพลังงานหรือคมนาคม
บทเรียนสำคัญจากเมืองใหญ่
สิ่งที่เห็นชัดคือ แม้รัฐบาลกลางจะไม่ผลักดันอย่างจริงจัง แต่เมืองใหญ่ซึ่งเป็นฐานประชากรและเศรษฐกิจกลับสามารถออกแบบนโยบายที่ทรงพลังได้ การบูรณาการเมนูจากพืชในโรงเรียน โรงพยาบาล และกิจกรรมเมือง ไม่เพียงสร้างผลลัพธ์เชิงสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการเปลี่ยนวัฒนธรรมการกินในระดับสังคม เมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก แอลเอ และออสติน จึงกลายเป็น “ห้องทดลองนโยบาย” ที่เมืองอื่น ๆ และแม้แต่ประเทศต่าง ๆ สามารถนำไปปรับใช้ต่อได้
โอกาสและแนวทางขับเคลื่อน
- ผู้กำหนดนโยบายท้องถิ่นสามารถบรรจุเป้าหมายอาหารจากพืชในแผนสภาพภูมิอากาศหรือแผนอาหารของเมือง รวมถึงเข้าร่วมเครือข่ายระหว่างประเทศ เช่น C40 หรือสัญญา Coolfood ที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซลง 25% ภายในปี 2030 อีกทั้งยังสามารถเข้าร่วม GFPP ซึ่งครอบคลุมมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจท้องถิ่น สุขภาพ และสวัสดิภาพสัตว์
- แนวทางที่ได้ผลชัดคือ การปรับเมนูในสถาบันสาธารณะ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล เรือนจำ หรือการประชุมสภาเมือง โดยใช้นโยบาย DefaultVeg ที่ทำให้อาหารจากพืชเป็นทางเลือกหลัก แต่ยังคงมีเมนูจากสัตว์สำหรับผู้ที่ต้องการ
- วิธีนี้ไม่จำกัดสิทธิผู้บริโภค แต่ใช้แรงผลักดันทางพฤติกรรมให้เลือกอาหารยั่งยืนมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีมาตรการเสริม เช่น โบนัสผักผลไม้ให้ผู้ใช้สิทธิ SNAP สนธิสัญญาว่าด้วยพืช (PBT) เพื่อแสดงเจตนารมณ์เมือง และการล็อบบี้ในระดับประเทศเพื่อต้านกฎหมายที่อาจขัดขวางการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารจากพืช
- แม้นโยบายระดับรัฐบาลกลางอาจหยุดชะงัก แต่การผลักดันในระดับท้องถิ่นของเมืองใหญ่อย่างลอสแอนเจลิส นิวยอร์ก ออสติน และวอชิงตัน ดี.ซี. แสดงให้เห็นถึงพลังการเปลี่ยนแปลงจริง การบูรณาการอาหารจากพืชในสถาบันสาธารณะ เพิ่มการเข้าถึงและความหลากหลายของเมนู และการร่วมมือเครือข่ายระดับโลก เป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เสริมสุขภาพ และสร้างระบบอาหารที่ยุติธรรมและยั่งยืนมากขึ้นในอนาคต
แหล่งอ้างอิง
Leah Kelly. (23 Jan 2025). Spotlighting Municipal Plant-Based Food Policies in 2025.
Seth Millstein. (26 Aug 2024). The Top U.S. Cities with Climate-Friendly Food Policies.
Sara McGoun. (3 June 2025). United in Advocacy: PBFA’s 2025 Lobby Day Brings the Plant-Based Industry to Washington. https://plantbasedfoods.org/…/united-in-advocacy-pbfa…