
เราจะเข้าใจทุนนิยมโลกร้อนได้อย่างไร
วิกฤตภูมิอากาศในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์ของการปล่อยคาร์บอนเกินขอบเขตเชิงวิทยาศาสตร์ แต่คือผลพวงโดยตรงของโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเมืองที่เรียกว่า ทุนนิยม ระบบนี้ทำงานผ่านการแสวงหากำไรที่ไม่รู้จบ โดยทำให้ธรรมชาติและแรงงานถูกแปรเป็น “ทรัพยากร” ที่ถูกกดราคาเพื่อสะสมทุน การทำความเข้าใจจึงต้องเริ่มจากการมองให้เห็นว่าโลกร้อนไม่ได้เกิดจาก “มนุษย์ทุกคน” เท่าเทียมกัน แต่เกิดจากรูปแบบการจัดระเบียบทางสังคม–เศรษฐกิจที่มีอายุหลายศตวรรษ
หากพิจารณาเป็นขั้นตอน จะเห็นได้ว่าทุนนิยมทำงานเพื่อก่อให้เกิดวิกฤตโลกร้อนผ่านกระบวนการต่อเนื่องดังนี้
1. การทำให้ธรรมชาติและแรงงานกลายเป็น “ทรัพยากรราคาถูก” (Cheapening nature & labor) ทุนนิยมเริ่มจากการทำให้สิ่งที่เคยอยู่นอกตลาด—ผืนดิน ป่า น้ำ อากาศ รวมถึงแรงงานมนุษย์—กลายเป็นวัตถุดิบราคาถูกเพื่อการผลิต (Moore, 2015)
2. การเลือกเทคโนโลยีเพื่อควบคุมแรงงานและเพิ่มการสะสมทุน เทคโนโลยีถูกเลือกไม่ใช่เพราะมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่เพราะมันเอื้อต่อการควบคุมและการสะสมทุน เช่น การเลือกใช้ถ่านหินแทนพลังงานน้ำในศตวรรษที่ 19 (Malm, 2016)
3. การขยายการผลิตและการทำลายสมดุลนิเวศ เมื่อธรรมชาติกลายเป็นสินค้าราคาถูกและเทคโนโลยีถูกใช้เพื่อสะสมทุน ระบบจะเร่งการผลิตเกินขอบเขตทางนิเวศ และนำไปสู่การสะสมคาร์บอนมหาศาลในชั้นบรรยากาศ
4. การผลักภาระและต้นทุนกลับไปที่ธรรมชาติและผู้เปราะบาง กำไรเกิดจากการผลักต้นทุน เช่น มลพิษหรือโลกร้อน กลับไปให้ชุมชนที่เปราะบาง โดยเฉพาะโลกใต้ (Klein, 2014)
5. การสร้างกลไกปกป้องทุนและทำให้วิกฤตดำรงต่อ เมื่อเกิดวิกฤต ทุนสร้างกลไกใหม่ เช่น คาร์บอนเครดิตหรือ geoengineering เพื่อรักษาการสะสมทุนต่อไป (Moore, 2016)
6. การสร้างวิกฤตอารยธรรม ผลลัพธ์คือโลกที่ไม่อาจอยู่อาศัยได้ ภัยพิบัติรุนแรงขึ้น ความเหลื่อมล้ำถ่างกว้าง และสิทธิมนุษยชนถูกละเมิด (Thunberg, 2022; Whyte, 2017)
วงจรนี้สามารถสรุปได้ว่า
> กดราคาธรรมชาติ → เลือกเทคโนโลยีเพื่อทุน → ขยายการผลิต → ผลักภาระต่อธรรมชาติและผู้เปราะบาง → สร้างกลไกรักษากำไร → ผลิตซ้ำวิกฤต
วงถกเถียง เสียงที่แตกต่างแต่สอดคล้อง
- Jason W. Moore ท้าทายกรอบ Anthropocene โดยเสนอคำว่า Capitalocene เพื่อเน้นว่าต้นตอของวิกฤตคือระบบทุน ไม่ใช่มนุษย์ทุกคน เขามองทุนนิยมเป็น world-ecology ที่จัดระเบียบความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างอำนาจ เศรษฐกิจ และธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง (Moore, 2015, 2016)
- Naomi Klein เห็นด้วยกับการชี้รากโครงสร้าง แต่เน้นการสร้างขบวนการทางการเมือง เธอย้ำว่าโลกร้อนไม่ใช่เพียงปัญหาคาร์บอน แต่คือการปะทะกันระหว่างระบบเศรษฐกิจกับระบบดาวเคราะห์ และต้องรับมือด้วยโครงการที่ผนวกสิ่งแวดล้อมกับความยุติธรรมทางสังคม เช่น Green New Deal (Klein, 2014, 2019)
- Andreas Malm พาเราย้อนสู่รากของทุนฟอสซิล เขาแสดงว่าถ่านหินถูกเลือกไม่ใช่เพราะมีประสิทธิภาพ แต่เพราะมันช่วยให้ทุนควบคุมแรงงานได้ง่ายกว่า (Malm, 2016). จากนั้นเขาโต้แย้งว่าการประท้วงเชิงสัญลักษณ์ไม่เพียงพอ การปฏิบัติการตรง เช่น การหยุดท่อส่งน้ำมัน อาจเป็นสิ่งจำเป็น (Malm, 2021)
- Greta Thunberg เติมน้ำหนักเชิงศีลธรรม โดยมองว่านี่คือการละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งใหญ่ที่สุดในยุคสมัย เธอเน้นว่าเด็กและชุมชนเปราะบางต้องแบกรับผลลัพธ์ของระบบที่พวกเขาไม่ได้ก่อ และย้ำว่าความเร่งด่วนคือสิ่งที่ไม่อาจประนีประนอมได้ (Thunberg, 2022)
- ผู้นำชนพื้นเมือง เปิดประตูไปสู่การเปลี่ยนจักรวาลทัศน์ (cosmovision) พวกเขามองว่าวิกฤตภูมิอากาศคือผลต่อเนื่องจากลัทธิล่าอาณานิคมที่เข้ายึดผืนดิน ทำลายวิถีชีวิตชุมชน และทำลายความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับโลก สำหรับพวกเขา วิกฤตนี้ไม่ใช่แค่เรื่องคาร์บอนหรือพลังงาน แต่คือการสูญเสียสมดุลที่เคยมีมาแต่เดิม ดังนั้น คำตอบไม่อาจเป็นเพียงการแทนที่ฟอสซิลด้วยพลังงานหมุนเวียนเชิงบรรษัท หากยังอยู่ในตรรกะการกดขี่แบบเดิม ทางออกต้องมาจากการคืนสิทธิให้ชุมชนท้องถิ่น ฟื้นฟูภูมิปัญญา และยอมรับ สิทธิของธรรมชาติเอง (Kimmerer, 2013; Whyte, 2017)
การทำความเข้าใจใหม่ วิกฤตอารยธรรม
เสียงเหล่านี้ประกอบกันเป็นภาพรวมว่า โลกร้อนไม่ใช่วิกฤตทางสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่คือวิกฤตของอารยธรรมที่ตั้งอยู่บนทุนนิยม
- Malm ชี้ให้เห็นว่าทุนฟอสซิลคือรากเชิงประวัติศาสตร์ของการสะสมทุน
- Moore เสนอกรอบทฤษฎี Capitalocene ที่รื้อความเข้าใจ Anthropocene
- Klein เชื่อมการวิเคราะห์โครงสร้างกับการสร้างขบวนการทางการเมือง
- Greta เสริมความเร่งด่วนและภาษาสิทธิมนุษยชน
- ชนพื้นเมือง เสนอจักรวาลทัศน์ใหม่ที่มองมนุษย์กับโลกในฐานะเครือญาติ
ทั้งหมดสะท้อนว่าหากเรายังมองวิกฤตภูมิอากาศเป็นเพียงปัญหาเชิงเทคนิค เช่น คาร์บอนเครดิตหรือการเปลี่ยนเชื้อเพลิง เราจะเพียงยืดอายุของทุนนิยม แต่ไม่แตะรากของปัญหา
การทำความเข้าใจวิกฤตภูมิอากาศจึงต้องพ้นไปจากการมองว่า “ธรรมชาติกำลังป่วย” หรือ “มนุษย์ใช้ทรัพยากรมากเกินไป” แต่ต้องเห็นว่านี่คือผลของระบบเศรษฐกิจ–การเมืองที่กดขี่ธรรมชาติและแรงงานมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ การถกเถียงระหว่างนักคิด นักเคลื่อนไหว และผู้นำชนพื้นเมืองทำให้เราเห็นว่า การต่อสู้กับโลกร้อนคือการต่อสู้เพื่อ ความเป็นธรรมทางสังคม สิทธิมนุษยชน และสิทธิของโลกธรรมชาติเอง
นี่ไม่ใช่การเลือกระหว่าง “ช่วยโลกหรือช่วยเศรษฐกิจ” แต่คือการตั้งคำถามใหม่ต่อทั้งระบบ ว่าเราจะสร้างสังคมแบบใดที่จะอยู่ร่วมกับโลกได้อย่างยั่งยืนและยุติธรรม
อ้างอิง
Klein, N. (2014). This changes everything: Capitalism vs. the climate. Simon & Schuster.
Klein, N. (2019). On fire: The (burning) case for a green new deal. Simon & Schuster.
Kimmerer, R. W. (2013). Braiding sweetgrass: Indigenous wisdom, scientific knowledge and the teachings of plants. Milkweed Editions.
Malm, A. (2016). Fossil capital: The rise of steam power and the roots of global warming. Verso.
Malm, A. (2021). How to blow up a pipeline. Verso.
Moore, J. W. (2015). Capitalism in the web of life: Ecology and the accumulation of capital. Verso.
Moore, J. W. (2016). Anthropocene or Capitalocene? Nature, history, and the crisis of capitalism. PM Press.
Thunberg, G. (Ed.). (2022). The climate book. Penguin Press.
Whyte, K. (2017). Indigenous climate change studies: Indigenizing futures, decolonizing the Anthropocene. English Language Notes, 55(1-2), 153–162.