THAI CLIMATE JUSTICE for All

CCS ที่อ่าวไทย: เทคโนโลยีใหม่ คำถามเรื่องสิทธิ และความเป็นธรรมสภาพภูมิอากาศ

ปี 2025 ปตท.สผ. ประกาศลงทุนกว่า 320 ล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ที่แหล่งก๊าซอาทิตย์ในอ่าวไทย โดยตั้งเป้าเริ่มเดินเครื่องในปี 2028 กักเก็บได้ราว 1 ล้านตันต่อปี โครงการนี้ถูกกำหนดให้เป็น “ธงนำร่อง” ภายใต้แผน NDC ของประเทศไทย และได้รับสิทธิประโยชน์จากรัฐโดยตรง

ในสายตาหลายฝ่าย นี่คือก้าวสำคัญของไทยบนเส้นทาง Net Zero แต่หากมองผ่านกรอบ ความเป็นธรรมสภาพภูมิอากาศ จะพบว่ามีคำถามสำคัญเกี่ยวกับ สิทธิธรรมชาติ และ สิทธิชุมชน ที่ยังไม่ได้รับการตอบชัดเจน

บทเรียนจากโลก: เทคโนโลยีไม่ง่าย และสิทธิคือหัวใจ

  • โครงการ Sleipner ในนอร์เวย์ (1996) ถือเป็น CCS แรกของโลก แม้จะดำเนินงานต่อเนื่อง แต่การติดตามพบว่าพลูมคาร์บอนเคลื่อนตัวในชั้นหินเร็วกว่าที่คาด[4] สิ่งนี้เตือนเราว่า “ชั้นหินและมหาสมุทร” ไม่ใช่เพียงที่เก็บของเสีย แต่เป็นส่วนหนึ่งของโลกที่มีสิทธิในความสมบูรณ์ของตัวเอง (สิทธิธรรมชาติ) ที่มนุษย์ต้องเคารพ
  • ที่ In Salah ในแอลจีเรีย (2004) การฉีดก๊าซทำให้เกิดแรงดันจนพื้นดินยกตัวขึ้น[5] ปัญหานี้ชี้ว่าการละเลยพลวัตของธรรมชาติอาจก่อผลเสียรุนแรงต่อชุมชนโดยรอบ ซึ่งควรมีสิทธิที่จะปกป้องบ้านเกิดของตนจากความเสี่ยงเช่นนี้ (สิทธิชุมชน)
  • กรณี Barendrecht ในเนเธอร์แลนด์ (2008–2010) ยิ่งชัดเจน เมื่อชุมชนลุกขึ้นคัดค้านจนโครงการต้องยกเลิก[6] แม้รัฐและบรรษัทจะพร้อมเดินหน้า แต่การไม่มี “ความยินยอมอย่างเสรีและล่วงหน้า” ทำให้โครงการไม่อาจดำเนินต่อได้ นี่คือบทเรียนว่าการเคารพ สิทธิชุมชน ไม่ใช่เพียงเรื่องมารยาททางการเมือง แต่เป็นเงื่อนไขของความชอบธรรม
  • Boundary Dam ในแคนาดา (2014) และ Gorgon ในออสเตรเลีย (2017) แม้จะเดินหน้าไปได้ แต่การหยุดเดินเครื่องบ่อยและการกักเก็บที่ต่ำกว่าคาด[7][8] ทำให้เกิดคำถามว่าใครต้องแบกรับต้นทุนนี้ ในท้ายที่สุดชุมชนท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อมคือผู้รับผลกระทบโดยตรง แต่กลับไม่ได้มีสิทธิในกระบวนการตัดสินใจ

ทิศทางนโยบาย: พยายามเชื่อมโยงสิทธิ เข้ากับเทคโนโลยี

แต่ละประเทศไม่เพียงเดินหน้า CCS ด้วยเหตุผลด้านเทคโนโลยีหรือเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเริ่มวางกรอบเพื่อป้องกันผลกระทบต่อธรรมชาติและชุมชน

สหภาพยุโรป (2023–2024)
ออกกฎหมาย Net-Zero Industry Act บังคับให้บริษัทพลังงานสร้างความสามารถกักเก็บ CO₂ อย่างน้อย 50 ล้านตัน/ปีในปี 2030 และกว่า 250 ล้านตัน/ปีใน 2040[9] พร้อมกำหนดระบบติดตาม (MMV) และการเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะ เพื่อให้ประชาชนและนักวิชาการสามารถตรวจสอบได้ การเปิดข้อมูลเช่นนี้ถือเป็นการยอมรับสิทธิของชุมชนในการรับรู้และสิทธิของธรรมชาติในการไม่ถูกใช้อย่างมืดบอด

สหราชอาณาจักร (2021–ปัจจุบัน)
ใช้โมเดล “คลัสเตอร์” ที่รัฐลงทุนเองและทำสัญญากับเอกชน[10] การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยรัฐสะท้อนความพยายามไม่ให้ต้นทุนตกกับประชาชนเพียงฝ่ายเดียว ขณะเดียวกัน กระบวนการปรึกษาสาธารณะเปิดพื้นที่ให้ชุมชนมีสิทธิออกเสียงต่อการใช้พื้นที่ของตน

สหรัฐอเมริกา (2022, IRA)
ใช้แรงจูงใจภาษี 45Q สูงถึง 85 ดอลลาร์/ตัน แต่ทุกโครงการต้องผ่านกฎหมายหลุม Class VI ของ EPA[11] ซึ่งมีมาตรการคุ้มครองน้ำบาดาลและระบบนิเวศใต้ดิน นี่คือการยอมรับว่าแหล่งน้ำและดินก็มี “สิทธิ” ที่ต้องได้รับการปกป้อง ขณะที่ชุมชนมีสิทธิได้รับความมั่นใจว่าโครงการจะไม่ละเมิดสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของตน

ญี่ปุ่น (2023, โครงการนำร่อง Hokkaido)
ตั้งเป้ากักเก็บ 6–13 ล้านตัน/ปีภายใน 2030 และเน้นการติดตามผลกระทบทางทะเลอย่างใกล้ชิด[12] การประสานกับท้องถิ่นที่พึ่งพาทะเลเป็นฐานเศรษฐกิจ คือการเชื่อม CCS เข้ากับสิทธิชุมชนโดยตรง

เยอรมนี (2024)
เปิดทางให้ใช้ CCS เฉพาะในภาคอุตสาหกรรมหนัก เช่น ซีเมนต์และเหล็ก โดยห้ามใช้กับโรงไฟฟ้าถ่านหิน[13] แนวทางนี้สะท้อนการปกป้องสิทธิธรรมชาติ ไม่ให้ถูกใช้เพื่อยืดอายุเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างไร้ขอบเขต

คำถามสำหรับประเทศไทย

สำหรับไทย โครงการ Arthit CCS จะเคารพสิทธิธรรมชาติและสิทธิชุมชนอย่างไร? หากทะเลอ่าวไทยถูกใช้เป็นพื้นที่กักเก็บคาร์บอน ชุมชนชายฝั่งจะมีสิทธิร่วมตัดสินใจหรือไม่ หากเกิดการรั่วไหลหรือผลกระทบต่อประมง ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ? และที่สำคัญคือ เมื่อเงินมหาศาลถูกทุ่มลงไป จะมีผลต่อการจัดสรรทรัพยากรเพื่อพลังงานหมุนเวียนและการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ชุมชนเข้าถึงได้อย่างไร

บทสรุป: ความเป็นธรรมสภาพภูมิอากาศคือการเคารพสิทธิ

บทเรียนจากนอร์เวย์ แอลจีเรีย เนเธอร์แลนด์ แคนาดา และออสเตรเลีย สอนเราว่า CCS มีทั้งศักยภาพและความเสี่ยง สิ่งที่ทำให้ประเทศยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ พยายามแตกต่างออกไป คือการสร้างกรอบเพื่อปกป้องสิทธิธรรมชาติและสิทธิชุมชนไปพร้อมกับการพัฒนาเทคโนโลยี

สำหรับประเทศไทย ความเป็นธรรมสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เพียงการนับปริมาณคาร์บอนที่กักเก็บได้ แต่คือการรับรองว่าสิทธิของธรรมชาติในความสมบูรณ์ และสิทธิของชุมชนชายฝั่งในการปกป้องวิถีชีวิต จะไม่ถูกละเมิดโดยการลงทุนขนาดใหญ่ หาก CCS เดินไปพร้อมกับกรอบสิทธิ เราอาจมองเห็นอนาคตที่พลังงานสะอาดเติบโตโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่หากละเลย สิ่งที่เหลืออาจเป็นเพียงเทคโนโลยีราคาแพงที่ยืดอายุฟอสซิล และทิ้งความไม่เป็นธรรมไว้ในสังคม


แหล่งอ้างอิง

[1] Global CCS Institute. (2023). Global Status of CCS 2023. Melbourne: Global CCS Institute.
[2] IPCC. (2022). Climate Change 2022: Mitigation of Climate Change. Cambridge University Press.
[3] Ringrose, P., & Meckel, T. (2019). Maturing global CO₂ storage resources on offshore continental margins to achieve 2DS emissions reductions. Scientific Reports, 9(1).
[4] Furre, A., Eiken, O., Alnes, H., et al. (2017). 20 years of monitoring CO₂-injection at Sleipner. Energy Procedia, 114, 3916–3926.
[5] Mathieson, A., Midgely, J., Wright, I., et al. (2010). In Salah CO₂ Storage JIP: CO₂ sequestration monitoring and verification technologies applied at Krechba, Algeria. Energy Procedia, 4, 3567–3574.
[6] van Noorden, R. (2010). Carbon storage plans hit local opposition. Nature, 463(7279), 280.
[7] International Energy Agency (IEA). (2023). CCUS in Clean Energy Transitions. Paris: IEA.
[8] Government of Australia. (2022). Gorgon Carbon Dioxide Injection Project: Environmental Performance Report. Perth.
[9] European Commission. (2023). Net-Zero Industry Act. Brussels: EC.
[10] UK Government. (2023). Carbon Capture, Usage and Storage (CCUS) Policy. London.
[11] U.S. Department of Energy (DOE). (2022). Carbon Capture, Utilization, and Storage: Climate Essentials. Washington, D.C.
[12] Ministry of Economy, Trade and Industry (METI), Japan. (2023). CCS Long-term Roadmap for Japan. Tokyo.
[13] Federal Ministry for Economic Affairs and Climate Action (BMWK). (2024). Carbon Management Strategy. Berlin.

Scroll to Top