
วิกฤตโลกร้อนบีบให้เราต้องคิดใหม่เรื่องอาหาร โดยเฉพาะโปรตีนจากสัตว์ที่เป็นตัวการสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเลี้ยงวัวเพียงอย่างเดียวปล่อยก๊าซมีเทนจำนวนมาก และแค่การผลิตเนื้อวัว 1 กิโลกรัมก็อาจต้องใช้น้ำมากถึงเกือบ 15,000 ลิตร
ขณะที่โปรตีนจากพืชบางชนิดใช้น้ำน้อยกว่าถึงสิบเท่า นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ยังเกี่ยวพันกับต้นทุนอาหารที่แพงขึ้น ความมั่นคงทางอาหาร และความเป็นธรรมระหว่างคนที่เข้าถึงอาหารคุณภาพได้กับคนที่ไม่สามารถเลือกได้เลย
บทเรียนจาก 6 ประเทศ
- เดนมาร์ก แสดงให้เห็นว่า หากอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ต้องชวนทุกฝ่ายมาร่วมกันออกแบบ ตั้งแต่เกษตรกรจนถึงนักการเมือง เน้นการสร้างแรงจูงใจ ไม่ใช่บังคับ ทำให้การเปลี่ยนผ่านเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
- เนเธอร์แลนด์ จับมือกับซูเปอร์มาร์เก็ต ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนโปรตีนพืชบนชั้นวาง พร้อมกองทุนช่วยเกษตรกรปลูกพืชโปรตีน ลดความเสี่ยงที่เกษตรกรจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
- สิงคโปร์ ผูกโยงโปรตีนทางเลือกเข้ากับ “ความมั่นคงทางอาหาร” ตั้งสถาบันวิจัยและศูนย์นวัตกรรม ทำให้อาหารใหม่ ๆ อย่างเนื้อเพาะเลี้ยงขึ้นทะเบียนได้เร็ว
- สหราชอาณาจักร และ สหรัฐอเมริกา ใช้พลังท้องถิ่น เมืองใหญ่ ๆ ผลักดันเมนูโรงเรียนและโรงพยาบาลให้มีโปรตีนพืชเป็นทางเลือกหลัก ซึ่งช่วยลดคาร์บอนจริง และทำให้เด็กและครอบครัวทุกฐานะเข้าถึงอาหารที่ดีขึ้น
- เยอรมนี เน้นบทบาทของผู้ค้าปลีก เพราะการจัดวางสินค้าและโปรโมชั่นสามารถชี้นำผู้บริโภคได้โดยตรง
ประเทศไทยในปัจจุบัน
กระแสโปรตีนพืชเริ่มชัดเจน โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่มีร้านอาหาร plant-based และโซนสินค้าเนื้อเทียมในซูเปอร์มาร์เก็ตมากขึ้น คนรุ่นใหม่หันมาสนใจด้วยเหตุผลทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แต่ปัญหาคือ ราคายังสูง และในต่างจังหวัดแทบไม่มีสินค้าเหล่านี้ให้เลือก นี่สะท้อนชัดว่าการเปลี่ยนแปลงยังไม่ “เป็นธรรม” เพราะคนที่มีรายได้สูงในเมืองเข้าถึงได้ แต่เกษตรกรหรือคนชนบทกลับไม่ได้ประโยชน์จากโอกาสใหม่นี้
แล้วไทยล่ะ ควรเดินไปทางไหน
อุตสาหกรรมปศุสัตว์ของไทยปล่อยก๊าซมาก และเกษตรกรจำนวนมากยังพึ่งพาการปลูกพืชเชิงเดี่ยวอย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตัวเลขชี้ว่าโปรตีนจากสัตว์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าพืชโปรตีนเกือบ 10 เท่า ต่อหน่วยโปรตีน การขยับไปสู่โปรตีนพืชจึงไม่ใช่ทางเลือกหรูหรา แต่คือความจำเป็นที่เกี่ยวพันทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และความยุติธรรมต่อสังคม
สิ่งที่ไทยสามารถเริ่มทำได้ทันที คือสร้าง โครงการนำร่องในโรงเรียนและโรงพยาบาล ให้ทุกคนเข้าถึงอาหารจากพืช ไม่ว่ามีฐานะใด ขณะเดียวกันต้องทำงานกับ ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ เพื่อให้โปรตีนพืชมีพื้นที่บนชั้นวางในราคาที่จับต้องได้
อีกด้านคือการ สนับสนุนเกษตรกร ทั้งด้านเงินทุน เมล็ดพันธุ์ และความรู้ เพื่อให้เขาเปลี่ยนจากการปลูกเพื่อเลี้ยงสัตว์ ไปสู่การปลูกเพื่อเลี้ยงคน และทำให้เขามีรายได้มั่นคงขึ้น หากไม่มีมาตรการเช่นนี้ เกษตรกรอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ขณะที่การเปลี่ยนผ่านเกิดขึ้นเฉพาะในเมือง
ท้ายที่สุดโปรตีนพืชไม่ใช่เพียงเรื่องการลดโลกร้อน แต่คือเรื่อง “ความเป็นธรรม” ด้วย ความเป็นธรรมต่อโลกที่เราจะส่งต่อให้คนรุ่นถัดไป ความเป็นธรรมต่อเกษตรกรที่ต้องได้โอกาสสร้างรายได้ใหม่ และความเป็นธรรมต่อผู้บริโภคที่ควรเข้าถึงอาหารดี ๆ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยราคา
เมื่อมองเช่นนี้ คำถามจึงไม่ใช่ว่า “จะเปลี่ยนหรือไม่” แต่คือ “เราจะเปลี่ยนอย่างไรให้ทุกคนมีส่วนร่วม” เพราะทุกคำที่เรากินคือการเลือกอนาคต ถ้าเรายังเดินบนเส้นทางเดิม โลกอาจไม่เหลือพื้นที่ให้ลูกหลาน แต่ถ้าเราเลือกอาหารที่ยั่งยืน เราก็เลือกอนาคตที่เป็นธรรมต่อทุกชีวิต