
1. โลกที่คาร์บอนกลายเป็นสินค้า
ไม่กี่ปีมานี้ “คาร์บอนเครดิต” กลายเป็นคำที่ทุกองค์กรพูดถึงราวกับเป็นใบเบิกทางสู่โลกสีเขียว บริษัทขนาดใหญ่ต่างประกาศ “ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์” ด้วยการซื้อเครดิตจากที่อื่นมาชดเชยการปล่อยของตนเอง
แต่เบื้องหลังถ้อยคำดูดีนั้น กลับเต็มไปด้วยรอยรั่วของความจริง งานศึกษาของ The Guardian (Niranjan, 2025) และ Berkeley Carbon Trading Project (2023) ชี้ว่ากว่า 90% ของเครดิตในตลาดสมัครใจ ไม่ได้ลดคาร์บอนได้จริง หรือเป็นการลดที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว โครงการปลูกป่าหลายแห่งถูกไฟไหม้ภายในไม่กี่ปี ขณะที่บริษัทที่ซื้อเครดิตยังคงผลิตน้ำมัน ขุดถ่านหิน หรือเดินสายการบินต่อไป
แนวคิด “ชดเชย” (offset) จึงเริ่มถูกตั้งคำถาม: เรากำลังลดโลกร้อนจริง หรือแค่ซื้อสิทธิ์ในการปล่อยเพิ่มอีกหน่อยโดยรู้สึกผิดน้อยลง
2. จุดเปลี่ยนสู่แนวคิดใหม่ — Contribution-based Carbon Credit
เมื่อความเชื่อมั่นในระบบ “offset” ถดถอย นักวิชาการและองค์กรสากลอย่าง Gold Standard Foundation และ OECD ได้เสนอแนวทางใหม่ที่เรียกว่า “Contribution-based Carbon Credit”
มันคือความพยายาม “ยกระดับจิตสำนึก” ของระบบคาร์บอนเครดิต จากการจ่ายเพื่อชดเชย ไปสู่การร่วมรับผิดต่ออนาคตของโลก แนวทางนี้ตั้งอยู่บนความจริงง่าย ๆ ว่า
“ไม่มีใครสามารถลบล้างการปล่อยของตนได้อย่างแท้จริง แต่ทุกคนสามารถร่วมกันลดภาระให้โลกได้”
ดังนั้น “เครดิต” ในระบบใหม่นี้ ไม่ใช่สิทธิ์ที่ซื้อเพื่อปลดหนี้คาร์บอน แต่เป็นการสนับสนุนเชิงบวกต่อโครงการที่สร้างผลประโยชน์ร่วม เช่น การฟื้นฟูป่าชุมชน การปรับตัวต่อภูมิอากาศ การอนุรักษ์ดินและน้ำ หรือการฟื้นคืนสิทธิของชนพื้นเมือง
มันคือการเปลี่ยนจากคำถาม “ฉันจะชดเชยเท่าไหร่ถึงพอ”
ไปสู่คำถามว่า “ฉันจะมีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร”
3. เมื่อคาร์บอนกลายเป็นเรื่องของชีวิตและความสัมพันธ์
แนวคิดนี้ไม่ใช่เพียงทฤษฎีบนกระดาษ แต่เริ่มเกิดขึ้นจริงในหลายพื้นที่ของโลก
ที่ชายฝั่งเคนยา โครงการ Mikoko Pamoja คือภาพแทนของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ชุมชนในหมู่บ้าน Gazi Bay รวมตัวกันอนุรักษ์ป่าชายเลนโดยได้รับเงินสนับสนุนจากผู้คนทั่วโลกที่ต้องการ “ร่วมสมทบ” ไม่ใช่ “ซื้อชดเชย” รายได้เหล่านี้ถูกนำไปพัฒนาแหล่งน้ำสะอาด โรงเรียน และกิจกรรมสิ่งแวดล้อม เด็กในหมู่บ้านเติบโตขึ้นท่ามกลางป่าชายเลนที่พวกเขาช่วยดูแล
“มันไม่ใช่เรื่องคาร์บอน แต่คือเรื่องศักดิ์ศรีของคนที่อยู่กับป่า” — ตัวแทนชุมชน Gazi Bay กล่าวไว้ในการประชุม COP26
ในลาตินอเมริกา เครือข่ายเกษตรกรรายย่อยในโคลอมเบียและเปรูใช้แนวทางเดียวกัน พวกเขาทำเกษตรอินทรีย์เพื่อลดการปล่อยและกักคาร์บอนในดิน เงินสนับสนุนที่ได้รับจากองค์กรภายนอกในลักษณะ “contribution” ถูกใช้สร้างกองทุนจุลภาคสำหรับพัฒนาชุมชน ผลที่ได้ไม่เพียงคือคาร์บอนที่ถูกกัก แต่คือความมั่นคงทางอาหารและความภาคภูมิใจของคนท้องถิ่น
ขณะที่ในประเทศไทย โครงการ Down to Earth Camp: Soil for Climate Action ที่เชียงใหม่ เปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้เรียนรู้ผ่านการลงมือสัมผัสดิน ทดลองทำปุ๋ยหมัก และออกแบบแผนการมีส่วนร่วมคาร์บอนของตนเอง การเรียนรู้แบบนี้ทำให้คาร์บอนกลายเป็นเรื่องของชีวิตและจิตสำนึก มากกว่าตัวเลขในรายงาน
4. ความฝันและความจริงของ “คาร์บอนที่มีหัวใจมนุษย์”
แนวทาง contribution-based มีเจตนาที่งดงาม — คือการทำให้การลดคาร์บอนเชื่อมโยงกับความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน
กรอบ UNFCCC Article 6.8 ถึงขั้นบัญญัติแนวทาง “non-market approaches” เพื่อส่งเสริมความร่วมมือที่ไม่เน้นการซื้อขาย แต่เน้นผลลัพธ์ร่วมด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ดี เมื่อแนวคิดนี้เริ่มถูกนำไปใช้จริง ก็เผชิญคำถามหนักจากขบวนการ climate justice ว่า “เรากำลังเปลี่ยนระบบ หรือแค่เปลี่ยนคำ”
5. เสียงคัดค้าน เปลี่ยนชื่อ แต่ยังไม่เปลี่ยนตรรกะ
นักวิจัยอย่าง Kevin Anderson จาก Tyndall Centre เตือนว่า “การเปลี่ยนคำจาก offset เป็น contribution อาจทำให้เราสบายใจเกินไป” เพราะมันยังอิงอยู่บนตรรกะเดิม การซื้อสิทธิ์ในการปล่อยเพียงในภาษาที่นุ่มนวลขึ้น
องค์กรอย่าง Friends of the Earth International เห็นว่าแม้แนวทางนี้จะลดการหลอกตัวเองได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังทำให้คาร์บอนกลายเป็นสินค้า และเปิดช่องให้บรรษัทขนาดใหญ่รักษาภาพลักษณ์โดยไม่เปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ
ในรายงาน Net Zero Smoke and Mirrors ของ Greenpeace International (2023) ยังระบุว่า บริษัทพลังงานฟอสซิลหลายแห่ง เช่น Shell และ TotalEnergies ใช้คำว่า “contribution to net zero” เพื่อสื่อสารความยั่งยืน ทั้งที่ยังลงทุนในโครงการขุดเจาะใหม่อย่างต่อเนื่อง
“คำว่า contribution อาจเป็นเพียงหน้ากากใหม่ของการฟอกเขียว (greenwashing) ที่ซับซ้อนกว่าเดิม” Greenpeace International
6. สิทธิชุมชนกับอาณานิคมคาร์บอน
ขณะเดียวกัน กลุ่มสิทธิมนุษยชนอย่าง Indigenous Environmental Network (IEN) และ Third World Network ตั้งข้อสังเกตว่า แม้หลายโครงการจะพูดถึง “การมีส่วนร่วมของชุมชน” แต่การบริหารงบประมาณ การวัดผล และสิทธิ์ในคาร์บอนยังอยู่ในมือองค์กรภายนอก
ในหลายพื้นที่ของแอฟริกาและเอเชีย ชาวบ้านถูกจำกัดสิทธิ์ใช้ที่ดินของตน เพราะพื้นที่นั้นถูกกันไว้ให้ “กักคาร์บอน” แทนที่จะเป็นที่ทำกิน เหมือนในกรณีโครงการ Katingan Mentaya ที่อินโดนีเซีย ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าชุมชนไม่ได้รับผลประโยชน์เท่าที่สัญญาไว้
“แม้จะใช้คำว่ามีส่วนร่วม แต่ชุมชนยังไม่ได้เป็นเจ้าของ พวกเขาเป็นเพียงแรงงานที่ผลิตเครดิตให้คนอื่นซื้อ” IEN Statement on Carbon Markets, 2024
นักเคลื่อนไหวจึงเรียกระบบนี้ว่า “อาณานิคมคาร์บอน” (carbon colonialism) ที่โลกเหนือยังใช้พื้นที่ของโลกใต้เป็นที่กักคาร์บอน เพื่อรักษาระดับการบริโภคของตน
7. การเบี่ยงเบนจากเป้าหมายจริง ปัญหาของการซื้อทางออก
กลุ่ม Degrowth Movement และนักเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมอย่าง Jason Hickel มองว่า ไม่ว่าชื่อระบบจะเปลี่ยนไปอย่างไร มันยังอยู่ภายใต้ตรรกะการเติบโตไม่สิ้นสุดของทุนนิยม
“เราไม่สามารถซื้อทางออกจากวิกฤตสิ่งแวดล้อมได้ ต้องเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการเติบโตและพลังงานของมนุษย์ทั้งระบบ” (Hickel, 2022, Less is More)
ในมุมนี้ การบริจาคหรือสนับสนุนโครงการคาร์บอน แม้จะดูดี แต่ก็อาจทำให้สังคมหลงเชื่อว่า “เราทำพอแล้ว” ทั้งที่เป้าหมายแท้จริงคือการลดการผลิตและการบริโภคที่เกินจำเป็น
8. ความยุติธรรมในฐานะจุดศูนย์กลางใหม่
แม้จะถูกวิจารณ์หนัก แต่แนวทาง contribution-based ก็ทำให้ประเด็นเรื่อง “ความยุติธรรม” กลับมาอยู่ในวงสนทนาเรื่องคาร์บอนอีกครั้ง มันเปิดพื้นที่ให้เราถามคำถามที่ลึกกว่าเรื่องเทคนิค เช่น
ใครได้ประโยชน์จากเครดิตคาร์บอน
ชุมชนมีสิทธิ์ตัดสินใจต่อทรัพยากรของตนเองจริงหรือไม่
เรากำลังสร้างความรับผิดร่วม หรือเพียงความรับผิดแทน
คำถามเหล่านี้ทำให้โลกเริ่มตระหนักว่า การแก้วิกฤตภูมิอากาศไม่อาจวัดได้จาก “ตันคาร์บอน” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องวัดจากความเป็นธรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตผู้คน
“เราต้องไม่หยุดที่คำว่า ‘มีส่วนร่วม’ หากส่วนร่วมของเรายังอยู่ในระบบที่ทำลายโลกอยู่” Nnimmo Bassey, Climate Justice Advocate, Nigeria (2024)
9. ระหว่างตลาดกับความสัมพันธ์
สุดท้าย contribution-based carbon credit อาจไม่ใช่จุดจบของการถกเถียง แต่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองโลก โลกของตลาดที่เชื่อในกลไก และโลกของความสัมพันธ์ที่เชื่อในการฟื้นคืนความสมดุล
มันอาจช่วยให้ธุรกิจเริ่มตระหนักถึงความรับผิด แต่ก็เตือนให้เราไม่ลืมว่า การฟื้นฟูโลกต้องมากกว่าการจ่ายเงินหรือสร้างโครงการสวยงาม มันคือการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ที่ตั้งอยู่บนความเข้าใจ ความเคารพ และการลงมือเปลี่ยนแปลงในชีวิตจริง
เพราะสุดท้าย “คาร์บอนเครดิต” ที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ในตลาดใด แต่อยู่ในหัวใจของผู้คนที่ยอมรับว่า เราไม่ได้เป็นเจ้าของโลก เราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของมัน
เอกสารอ้างอิง
Niranjan, A. (2025). Carbon offsets fail to slow global warming due to systemic flaws. The Guardian.
Berkeley Carbon Trading Project (2023). Unredressed Carbon: Structural Flaws in Voluntary Carbon Markets.
Gold Standard Foundation (2023). Claims Guidelines for Voluntary Climate Action.
UNFCCC (2022). Article 6.8 Non-market Approaches.
Mikoko Pamoja Project (2021). Community-led Mangrove Conservation Report.
Down to Earth Camp: Soil for Climate Action (2025). Program Overview and Reflections.
The Guardian (2023). Indonesia’s Katingan Mentaya Project under review for inflated carbon claims.
Greenpeace International (2023). Net Zero Smoke and Mirrors Report.
Friends of the Earth International (2023). Why Carbon Offsetting and its Variants Fail.
Indigenous Environmental Network (2024). Statement on Carbon Markets and False Solutions.
Climate Justice Alliance (2023). Carbon Colonialism and the New Green Economy.
Jason Hickel (2022). Less is More: How Degrowth Will Save the World.
Kevin Anderson (2024). Carbon Markets are a Dangerous Distraction.
Nnimmo Bassey (2024). Public Lecture on Climate Justice and the Global South.