THAI CLIMATE JUSTICE for All

การชดเชยคาร์บอน (carbon offset) ล้มเหลวในการลดภาวะโลกร้อน

เพราะ “ปัญหาเชิงระบบ” ที่แก้ไม่ได้ด้วยการปรับปรุงเพียงผิวเผิน

The Guardian, 6 ตุลาคม 2025 | เขียนโดย Ajit Niranjan
แปลและเรียบเรียงโดย ChatGPT

ภาพรวม

การศึกษาใหม่ชี้ว่า ความล้มเหลวของกลไกชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) ระบบที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกชดเชยด้วยการลงทุนในโครงการลดคาร์บอนไม่ได้เกิดจาก “ผู้เล่นที่ไม่ดีไม่กี่ราย” แต่เป็น “ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังลึก” ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการปรับกฎเพียงเล็กน้อย

งานวิจัยซึ่งทบทวนหลักฐานกว่า 25 ปี พบว่าระบบเครดิตคาร์บอนส่วนใหญ่ “มีคุณภาพต่ำและแทบไม่ได้ลดการปล่อยจริง” แม้อุตสาหกรรมและนักการทูตพยายามปรับปรุงกติกาในเวที UN Climate Summit แต่กฎใหม่ “ก็ไม่ได้แก้ไขปัญหาคุณภาพที่แท้จริงได้เลย”

“เราควรเลิกคาดหวังว่าการชดเชยคาร์บอนจะได้ผลในระดับใหญ่”

ดร.สตีเฟน เลแซ็ก (Stephen Lezak) มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด, ผู้ร่วมเขียนงานวิจัยตีพิมพ์ใน Annual Reviews

การชดเชยคาร์บอน (carbon offset) คืออะไร

ในทางทฤษฎีการชดเชยคาร์บอนเป็นกลไก “ชดเชยการปล่อย” โดยให้บริษัทหรือประเทศที่ปล่อยก๊าซมาก สนับสนุนโครงการลดคาร์บอนราคาถูกในประเทศกำลังพัฒนา เช่น การปลูกป่า การใช้พลังงานหมุนเวียน หรือการจัดการของเสีย เพื่อลดปริมาณการปล่อยสุทธิของตน

อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ ตลาดคาร์บอนสมัครใจ (Voluntary Carbon Market) กลับเต็มไปด้วย “junk offsets” เครดิตคาร์บอนที่อ้างผลเกินจริงหรือไม่เกิดขึ้นจริงเลย

ปัญหาเชิงระบบ 4 ด้านหลัก

งานศึกษาระบุว่า โครงการส่วนใหญ่มีข้อบกพร่องเชิงโครงสร้างใน 4 มิติสำคัญ ได้แก่

1. Non-additional ให้เครดิตกับโครงการที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว เช่น โรงไฟฟ้าพลังลมที่มีแผนสร้างอยู่ก่อน

2. Impermanence ผลลัพธ์ไม่ยั่งยืน เช่น ป่าที่ปลูกไว้ถูกไฟไหม้ในภายหลัง

3. Leakage ปกป้องพื้นที่หนึ่ง แต่การทำลายป่าเลื่อนไปยังพื้นที่อื่น

4. Double-counting ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างอ้างสิทธิ์ลดคาร์บอนจากโครงการเดียวกัน

“แม้โครงการจะดีในสามด้าน แต่ถ้าขาดด้านหนึ่ง ผลที่ได้อาจไม่ลดการปล่อยจริงเลย”

รายงานเตือนในบทวิเคราะห์

หลักฐานจากงานวิจัยอื่น

การวิเคราะห์รวม (meta-analysis) ที่ตีพิมพ์ใน Nature Communications พบว่า มีเพียง 16% ของเครดิตคาร์บอนเท่านั้นที่ลดการปล่อยจริง

เบเนดิกต์ พร็อบส์ (Benedict Probst) จากสถาบัน Max Planck ซึ่งไม่ได้ร่วมในงานวิจัยใหม่นี้ ระบุว่างานดังกล่าว “ให้ภาพรวมที่มีคุณค่าและสะท้อนปัญหาที่เรื้อรังในระบบเครดิตคาร์บอน” พร้อมเตือนถึงปัจจัยเชิงระบบที่ซับซ้อน เช่น

  • ข้อมูลที่ไม่โปร่งใส
  • ผลประโยชน์ทับซ้อนในการออกมาตรฐาน
  • หน่วยงานกำกับดูแลที่ “ขาดบุคลากรอย่างเรื้อรัง”

ความพยายามปรับระบบ

แม้จะมีความพยายามยกระดับมาตรฐาน เช่น

  • Integrity Council for the Voluntary Carbon Market (ICVCM) ซึ่งอนุมัติเฉพาะโครงการที่ผ่านเกณฑ์เข้มงวด
  • บริษัทจัดอันดับเครดิตคาร์บอน ที่ให้ข้อมูลผู้ซื้อเกี่ยวกับคุณภาพของโครงการ
  • แต่ผู้วิจัยเสนอให้ ยุติโครงการชดเชยคาร์บอนที่ไม่สามารถดูด CO₂ ออกจากบรรยากาศได้จริง
  • และหันไปสนับสนุนโครงการ “การกำจัดและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Removal & Storage)” ที่มีคุณภาพสูงแทน
  • พวกเขายังเสนอให้เปลี่ยนจากระบบ “การอ้างชดเชย” ไปสู่ระบบ “การสมทบ (Contribution-based)”
  • ที่ผู้จ่ายเงินไม่สามารถอ้างว่าตนเป็นกลางทางคาร์บอนได้ แต่เป็นการมีส่วนร่วมต่อการลดโลกร้อนจริง

ความหวังที่ยังเหลืออยู่

แม้ผลการศึกษาส่วนใหญ่สะท้อนความล้มเหลว แต่นักวิจัยชี้ว่า ยังมีบางโครงการที่ให้ผลเชิงบวก เช่น

  • การแจกเตาเผาที่สะอาดกว่าในชุมชนยากจน
  • การดักจับก๊าซมีเทนจากหลุมฝังกลบ
  • “เราไม่ควรเทน้ำทิ้งทั้งอ่าง”

เลแซ็กกล่าว “ยังมีบางแนวทางที่ควรชื่นชม และอาจพัฒนาให้สำเร็จได้”

บทสรุป

  • ระบบชดเชยคาร์บอนถูกตั้งความหวังว่าจะเป็นทางออกเชิงตลาดต่อวิกฤตโลกร้อน
  • แต่หลังผ่านมากว่า 25 ปี หลักฐานกลับชี้ชัดว่ามันไม่สามารถทำหน้าที่นั้นได้จริง
  • ไม่ใช่เพราะความล้มเหลวของโครงการรายเดียว แต่เพราะ โครงสร้างของระบบทั้งหมดมีปัญหา
  • การรับมือกับภาวะโลกร้อนอาจต้องก้าวพ้น “ตรรกะการชดเชย”
  • และหันมาสร้าง “การเปลี่ยนแปลงจริง” ในการลดการปล่อยจากต้นทาง
  • พร้อมสนับสนุนโครงการที่ฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างแท้จริง แทนที่จะเพียง “ซื้อสิทธิ์” เพื่อปล่อยต่อไป

แหล่งอ้างอิง:

The Guardian – Carbon offsets fail to cut global heating due to ‘intractable’ systemic problems, 6 Oct 2025

Annual Reviews (2025) และ Nature Communications (2024)

Scroll to Top