
คณะรัฐมนตรีเพิ่งอนุมัติ NDC 3.0 เมื่อ 4 พฤศจิกายน ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 47% ภายในปี 2035 และมุ่ง Net Zero ปี 2050 โดยเปลี่ยนมาใช้อ้างอิงปีฐาน 2019 แทนระบบ BAU เดิม แต่เครือข่าย Thai Climate Justice for All (TCJA) ชี้ว่าแม้ตัวเลขสูงขึ้น แต่ หลักคิดและแนวทางยังไม่ก้าวหน้า และมีความเสี่ยงสูงจะทำไม่สำเร็จ
แผนใหม่ยังพึ่งพาเทคโนโลยีดักคาร์บอน ไฮโดรเจน-แอมโมเนีย และตลาดคาร์บอน ซึ่งทั่วโลกเกิดปัญหาน่าเชื่อถือนับไม่ถ้วน แต่ ไม่ตั้งเป้าเลิกฟอสซิล ไม่คุ้มครองสิทธิชุมชน และไม่กล่าวถึงการเปลี่ยนผ่านระบบอาหาร ทั้งที่เป็นเงื่อนไขสำคัญของการจำกัดอุณหภูมิ 1.5°C
TCJA ระบุว่า NDC 3.0 ยังมองป่าเป็นคาร์บอนซิงก์ ชุมชนเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ไม่ใช่ผู้มีสิทธิ และอาจเปิดทางให้เกิด “อาณานิคมคาร์บอน” ผ่านโครงการเครดิตคาร์บอนทับที่ดินทำกิน ขณะเดียวกันขั้นตอนจัดทำแผนก็ ขาดการมีส่วนร่วมของเกษตรกร ชุมชน เยาวชน และภาคประชาสังคม
เครือข่ายเรียกร้องให้ ยกร่าง NDC ใหม่ทั้งชุด โดย
- มีกฎหมายสภาพภูมิอากาศรองรับและผูกพันรัฐ
- กำหนดเส้นตายเลิกฟอสซิล
- รับรองสิทธิชุมชนและสิทธิของธรรมชาติ
- วางแผนเปลี่ยนผ่านระบบอาหารจากโปรตีนสัตว์สู่โปรตีนพืชท้องถิ่น
TCJA ย้ำว่า NDC 3.0 แบบปัจจุบัน ไม่ใช่ Climate Justice แต่เสี่ยงเป็น Climate Colonialism จึงควรชะลอการเดินหน้าร่าง พ.ร.บ.สภาพภูมิอากาศและแผนระยะยาว จนกว่าจะมี NDC ใหม่ที่เป็นธรรม โปร่งใส และทำได้จริง.
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_5459497