THAI CLIMATE JUSTICE for All

วิกฤติน้ำท่วมใต้ บ่งบอกทำไมไทยถูกจัดอันดับเสี่ยงโลกร้อนอันดับต้นของโลก

German Watch สถาบันวิชาการจัดอันดับความเสี่ยงของประเทศต่าง ๆ ต่อผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk Index) โดยพิจารณาจากความเสียหายด้านชีวิต ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา (2000-2019) เคยจัดอันดับประเทศไทยว่าเสี่ยงอันดับ 9 ของโลก โดยนับเอาเหตุการณ์น้ำท่วมปี 54 เป็นเหตุการณ์สำคัญ ต่อมารายงานฉบับล่าสุด (2004-2023) ได้ปรับอันดับความเสี่ยงของประเทศไทยเป็นอันดับที่ 30 ของโลก

เหตุผลที่ทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เสี่ยงอันดับต้น ๆ ของโลก ไม่เพียงเพราะประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมินิเวศเขตร้อนชื้นติดทะเลที่เป็นปัจจัยเสี่ยงโดยธรรมชาติ แต่เหตุผลสำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ความไม่พร้อมในการรับมือกับความเสี่ยงของรัฐ อันทำให้ความเสี่ยงรุนแรงขึ้น และนำมาสู่ความสูญเสียและเสียหาย (Loss & Damage)

เหตุการณ์น้ำท่วมในปีนี้ตั้งแต่น้ำท่วมอยุธยา จนมาถึงวิกฤติน้ำท่วมภาคใต้ตั้งแต่หาดใหญ่ สงขลา สตูล ปัตานี ยะลา และนราธิวาส ที่หนักที่สุดในรอบ 30 ปี บ่งบอกถึงความล้มเหลวในการจัดการของภาครัฐ

จากเหตุการณ์ปริมาณฝนตกจากสภาวะ “แม่น้ำในอากาศ” อันเนื่องจากสภาวะโลกร้อนที่ทำให้อุณหภูมิทะเลสูงขึ้น จนอากาศบรรจุไอน้ำจนอิ่มตัวและกลั่นเป็นแม่น้ำในอากาศตกมาอย่างรุนแรง ฝนหนักที่สุดในรอบหลายร้อยปี วิกฤติน้ำท่วมคราวนี้บ่งชี้ถึงสาเหตุจากสภาวะโลกร้อนได้ชัดเจนที่สุด

แต่สิ่งที่ทำให้ความเสียหายรุนแรง มาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างของเมือง การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน และอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเป็น “ปฏิปักษ์ต่อธรรมชาติ”

ปีที่แล้ว อุทกภัยที่เชียงราย “แม่น้ำในอากาศ” ที่ทำให้ฝนตกรุนแรง จนเกินขีดจำกัดธรรมชาติ แม้ชุมชนกะเหรี่ยงหินลาดใน ที่ดูแลป่าได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ยังต้องเจออุทกภัยรุนแรง แต่นอกเหนือจากนั้น ปัญหาการเปลี่ยนแปลงนิเวศในพื้นที่อื่น ๆ ที่ป่าสูญเสียไปตั้งแต่สัมปทานไม้ การขยายตัวพืชพาณิชย์ และโครงสร้างการพัฒนาเมือง ทำให้เชียงรายวิกฤติรุนแรงที่สุด

อยุธยา น้ำท่วมทุกปี และปีนี้ท่วมหนัก จากพื้นที่รับน้ำธรรมชาติถูกถมเพื่อสร้างบ้านจัดสรร โรงงาน ถนน หนองน้ำ แก้มลิง ทุ่งรับน้ำ ถูกเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ คลองธรรมชาติหลายสายถูกถมทำถนน และที่สำคัญระบบคันกั้นน้ำ และโครงสร้างชลประทานบางแห่งสร้างปัญหาเพิ่ม เช่น เก็บน้ำไว้บางส่วนเพื่อไม่ให้เข้าพื้นที่สำคัญ คันกั้นน้ำสูงไม่เท่ากัน อุตสาหกรรมสร้างกำแพงคอนกรีตขวางทางน้ำ

ขณะที่หาดใหญ่ และหลายจังหวัดภาคใต้ โครงสร้างของเมืองที่ขยายตัว ถนนเป็นอุปสรรคใหญ่ โครงสร้างผ้นน้ำ กั้นน้ำไม่สอดประสาน ซึ่งทำให้เกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง แต่ครั้งนี้เมื่อเผชิญ “แม่น้ำในอากาศ” ทำให้เกิดวิกฤติรุนแรง

เหตุการณ์ในรอบ 2 ปีบอกอะไรกับเราได้มากกว่า ภัยธรรมชาติ

1) วิกฤติทั้งหมด บ่งบอกถึงสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงเข้าขั้นวิกฤติ แต่วิกฤตินั้นไม่ได้จากสภาพภูมิอากาศสุดขั้วเพียงอย่างเดียว แต่เสี่ยง เปราะบาง และเสียหาย จากโครงสร้างการพัฒนาทั้งหมดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อธรรมชาติ ภัยพิบัติน้ำท่วม จึงบ่งบอกถึง ธรรมชาติที่จะไม่ยอมถูกจำกัด หรือกำกับด้วยระบบโครงสร้างจัดการของมนุษย์ ซึ่งในที่นี้คือ รัฐ อีกต่อไป

2) ความเปราะบาง สูญเสีย และเสียหาย มาจากความไม่พร้อม และไม่ลงทุนของรัฐในการรับมือ ทั้งแก้ไขปัญหา ป้องกัน และสร้างความพร้อมในการรับมือ ปรับตัวของเมืองต่อสภาพภูมิอากาศ สภาวะรัฐล้มเหลวในการจัดการวิกฤติน้ำท่วมในขณะนี้ ยิ่งผลักดันให้ประชาชนสูญเสียและเสียหายรุนแรงขึ้น และเมื่อดูถึงการจัดการรองรับเชิงระบบทั้งหมด รัฐบาลจัดสรรงบฯ ปี 69 สำหรับแผนยุทธศาสตร์จัดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพียง 2,368 ล้านบาทเท่านั้น คิดเป็น 0.06% ของงบฯ แผ่นดินทั้งหมด! นั่นย่อมบ่งบอกว่า แผนปรับตัวสภาพภูมิอากาศ (NAP) ที่ประกาศใหญ่โต กลับไม่ใช่เป้าหมายสำคัญของรัฐเลย

3) การจัดการที่ผิดพลาดซ้ำเติม (Mal-adaptation) โครงสร้างการจัดการน้ำ (ชลประทาน คลอง อุโมงค์ พนังกั้นน้ำ เขื่อน การผันน้ำ การขุดลอก ฯลฯ) ที่ภาคกลาง ภาคใต้ และภาคอื่น ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง กลายเป็นโครงสร้างที่ทำให้วิกฤติน้ำรุนแรงขึ้น เพราะขัดแย้งกับนิเวศน้ำตามธรรมชาติ เพราะมุ่งแต่จะควบคุมน้ำให้ “เชื่อง” ตามที่รัฐต้องการ แต่ยิ่งขัดขวาง ควบคุม ธรรมชาติยิ่งต้องการปลดปล่อย สู่อิสระ และกลายเป็นความหายนะรุนแรงกว่าปกติ หากวิกฤติน้ำท่วมภาคใต้คราวนี้ หน่วยงานรัฐยังจะเสนอการจัดการที่ผิดพลาด เช่น สร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำ คันกั้นน้ำ ขุดลอก ฯลฯ ที่ขัดต่อทิศทางธรรมชาติของน้ำ ก็น่าเป็นห่วงว่า วิกฤติรอบต่อไปอาจรุนแรงกว่านี้

4) วิกฤติจากความไม่เป็นธรรมสภาพภูมิอากาศ ปัญหาน้ำท่วม ภายใต้วิกฤติใหญ่ผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บ่งบอกถึง ความไม่เป็นธรรมสภาพภูมิอากาศได้อย่างชัดเจน

  • ในด้านแรก โครงสร้างการพัฒนาขนาดใหญ่ต่าง ๆ เรียกร้องให้ประชาชนจำนวนมากต้องเสียสละที่ดิน ทรัพยากร แต่เมื่อเกิดวิกฤติ ประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อย กลับเป็นผู้เดือดร้อนที่สุดในวิกฤติซ้ำแล้วซ้ำเล่า
  • ในด้านที่สอง ปัญหาการพัฒนาทั้งหมดนี้ สร้างความไม่เป็นธรรมต่อนิเวศธรรมชาติ ที่ต้องถุกทำลาย ถูกควบคุม จนความเสื่อมโทรม เสียหาย ไม่สามารถเป็นภูมิคุ้มกันหรือช่วยบรรเทาผลกระทบให้ชุมชนได้เช่นเดิม
  • ในด้านที่สาม ปัญหาวิกฤติน้ำท่วม และอื่น ๆ เชื่อมโยงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากภาคทุนอุตสาหกรรม เช่น ทุนพลังงานฟอสซิล และอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุหลัก ดังนั้นความทุกข์ยากที่ประชาชนเผชิญ กลุ่มทุนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ และภาครัฐจะต้องเข้ามาจัดการให้เกิดความเป็นธรรม

ทางรอดร่วมภายใต้วิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงต้อง

1) รัฐต้องจัดสรรงบฯ สำหรับจัดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในสัดส่วนอย่างมีนัยสำคัญ ไม่น้อยกว่า 10% ของงบฯ แผ่นดิน (ไม่ใช่ 0.06% เหมือนดังงบฯ ปี 69) โดยต้องให้ความสำคัญแก่กลุ่มเปราะบาง ชุมชน เป็นอันดับแรก และกระจายอำนาจการจัดการงบฯ ลงไปสู่ชุมชนเป็นหลัก

2) สร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนและธรรมชาติ ไม่ให้เกิดความเสี่ยงก่อนที่จะสูญเสียและเสียหาย เหราะหากปล่อยให้สูญเสียและเสียหายแล้ว งบประมาณเท่าใดก็ไม่เพียงพอ แม้ล่าสุด เวที COP-30 ล่าสุด ประเทศพัฒฯาแล้วตกลงว่าจะเพิ่มทุนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงกองทุนสูญเสียและเสียหายให้ได้ 1.3 ล้านล้านเหรียญฯ ต่อปี (ประเทศพัฒนาแล้วยังเกี่ยงงอนที่จะให้) และคาดว่ารัฐไทยจะให้เหตุการณ์น้ำท่วมคราวนี้เสนอของงบฯ ดังกล่าว แต่หากไม่สร้างภูมิคุ้มกันล่วงหน้า และรัฐผูกขาดงบฯ ทุนที่ได้มาก็อาจไม่ได้ช่วยเหลือประชาชนให้มีขีดความสามารถรับมือได้อย่างแท้จริง

3) ความเป็นธรรมในด้านจัดสรรงบฯ ต้องให้ชุมชน ประชาชนเข้าถึงงบประมาณ กองทุน ทั้งการปรับตัวและชดเชยความสูญเสียและเสียหาย โดยต้องกระจายกองทุนลงไปในระดับชุมชน ให้ชุมชนเข้าถึงและบริหารจัดการ โดยมีกลไกที่ปรึกษาด้านข้อมูล การวางแผนปรับตัวของชุมชนสนับสนุน

4) สร้างความเป็นธรรมภูมิอากาศระหว่างผู้ทำให้โลกร้อนกับผู้ได้รับผลกระทบโลกร้อน ด้วยการให้กลุ่มทุนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ต้องรับผิดชอบ (ที่แตกต่างไปตามระดับของการปล่อยก๊าซ) จ่ายงบฯ โดยตรงมาเข้ากองทุนที่ภาครัฐบริหารจัดการโดยประชาชนมีส่วนร่วมเพื่อสร้างภุูมิคุ้มกัน ปรับตัว ป้องกัน ชดเชยความสูญเสียและเสียหาย โดยไม่ใช้กลไกชดเชยคาร์บอน มาบิดเบือนหรือฟอกเขียว ขณะที่ประชาชนที่เปราะบาง เสี่ยง จะต้องมีสิทธิในสภาพภูมิอากาศ ด้วยการมีสิทธิได้รับการคุ้มครอง สนับสนุน ชดเชยให้มีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง

5) คืนสิทธิและความเป็นธรรมให้ธรรมชาติ วางแผนปรับเปลี่ยนโครงสร้างการพัฒนาต่าง ๆ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อธรรมชาติ ให้อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุลย์ จะไม่มีการแก้ปัญหาที่ผิดพลาดต่อธรรมชาติและชุมชน โครงสร้างที่ขวางทางน้ำ ทำลายนิเวศ ควบคุมธรรมชาติ แต่ปรับเมือง ปรับวิถีการผลิต การใช้ทรัพยากร การดำรงชีพ การใช้พลังงาน ฯลฯ โดยเอาธรรมชาติเป็นที่ตั้ง

มองในภาพรวม รัฐจะต้องตั้งเป้าหมายใหม่

ให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากอันดับความเสี่ยงผลกระทบสภาพภูมิอากาศในอันดับที่ 30 ของโลก (อาจขยับสูงขึ้นจากวิกฤติน้ำท่วมภาคใต้) สู่ประเทศที่มั่นคงในการรับมือสภาพภูมิอากาศ

ให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากอันดับประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอันดับที่ 20 ของโลก (ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 0.8% ของโลก) มาเป็นประเทศที่มีอันดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุด

ให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่เอาเจริงด้านความเป็นธรรมสภาพภูมิอากาศ ด้วยระบบความรับผิดชอบที่แตกต่าง เอาจริงกับกลุ่มทุนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ ให้รับผิดชอบจริงจังทั้งการลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมาย IPCC และรับผิดชอบต่อความสูญเสียและเสียหาย

ให้ประเทศไทยเคารพสิทธิและความเป็นธรรมต่อธรรมชาติทั้งหมด โดยการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างการพัฒนาทั้งหมด ให้เอาธรรมชาติเป็นตัวตั้ง และจัดความสัมพันธ์เกื้อกูลต่อธรรมชาติ โดยจะไม่มีนโยบาย โครงการที่ทำร้าย ขัดขวางธรรมชาติ แต่เน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน

ข้อเรียกร้องทั้งหมดนี้ ยังไม่อยู่ในร่าง พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ที่มีข่าวว่าจะเข้าครม. 25 พย.ที่ผ่านมา แต่คงเลื่อนไปเพราะวิกฤติน้ำท่วม) ในแผนแม่บทการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในแผนลดก๊าซเรือนกระจก (NDC 3.0) ในแผนปรับตัวสภาพภูมิอากาศ (NAP) และร่างแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวการพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ (LT-LEDS)

ดังนั้น หลังจากเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในเวลานี้แล้ว (TCJA กำลังร่วมภับภาคีภาคส่วนต่าง ๆ ในการช่วยเหลือ) TCJA และเครือข่ายประชาชนจะเร่งผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเพื่อความเป็นธรรมสภาพภูมิอากาศให้เกิดขึ้น ก่อนที่จะไม่เหลือชีวิตคนและธรรมชาติให้สูญเสียและเสียหาย

TCJA

เครดิตภาพจาก ThaiPBS

Scroll to Top