
เรียบเรียงจากหลายบทความของ อ.ประสาท มีแต้ม นักวิชาการอาวุโส Thai Climate Justice for All
น้ำท่วมใหญ่ใน 8 จังหวัดภาคใต้ครั้งนี้ อาจดูเหมือนเหตุการณ์รุนแรงเฉพาะหน้า แต่ถ้าถอยออกมาดูในกรอบที่กว้างขึ้น จะพบว่ามันเป็นเพียง “ภาพเล็ก ๆ” ของความเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในระบบภูมิอากาศโลกที่กำลังเกิดขึ้นจริง และเกิดขึ้นเร็วขึ้นกว่าที่ใครคาดคิด
สิ่งที่ทำให้ฝนตกหนักผิดปกติครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียว แต่มาจากการซ้อนทับกันของปรากฏการณ์โลกถึงสามอย่าง ทั้งลานิญ่าอ่อน ๆ ที่ดึงความชื้นจากแปซิฟิกเข้ามา, การที่อุณหภูมิน้ำทะเลฝั่งมหาสมุทรอินเดียสูงขึ้นผิดปกติจากภาวะ IOD ติดลบ และการก่อตัวของ “แม่น้ำในอากาศ” หรือ Atmospheric River ซึ่งพาไอน้ำจำนวนมหาศาลพุ่งเข้าสู่ภาคใต้เหมือนสายพานแห่งความชื้น นี่ไม่ใช่สภาพอากาศแบบที่เราคุ้นเคยอีกต่อไป แต่คือภูมิอากาศแบบใหม่ที่เกิดจากโลกที่ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ตามกฎฟิสิกส์ง่าย ๆ ว่า น้ำทะเลอุ่นขึ้นหนึ่งองศา อากาศจะอุ้มน้ำได้มากขึ้นเจ็ดเปอร์เซ็นต์ และนั่นหมายถึงฝนที่ตกจะหนักกว่าเดิม แม้ตัวกระตุ้นจะเล็กลงก็ตาม
เมื่อปรากฏการณ์ทั้งสามเกิดพร้อมกัน even ในระดับที่ค่อนข้าง “อ่อน” ผลลัพธ์ก็ยังรุนแรงอย่างที่เห็น นักวิทยาศาสตร์ยังเตือนอีกว่าคา IOD ซึ่งเคยเกิดเฉลี่ยทุกสิบกว่าปีในศตวรรษก่อน จะเกิดถี่ขึ้นจนเหลือเพียงหกปีต่อครั้งในศตวรรษนี้ หากเรายังปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามแนวโน้มเดิม นั่นคือสัญญาณที่บอกเราว่า ภาคใต้ของไทยกำลังเข้าสู่ภูมิอากาศแบบใหม่ที่ยากต่อการคาดเดากว่าเดิมหลายเท่า
แต่ปัญหาที่ใหญ่พอ ๆ กับภูมิอากาศ คือ “ตรรกะของเมื่อวาน” ที่เรายังใช้จัดการภัยพิบัติวันนี้ ซึ่งไม่ทำงานอีกต่อไป นักปราชญ์คนหนึ่งเคยเตือนว่า ในโลกที่แปรปรวน สิ่งที่อันตรายที่สุดไม่ใช่ความแปรปรวน แต่คือการเอาความคิดเก่า วิธีเก่า และความเข้าใจเดิม ๆ มาใช้กับสถานการณ์ใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ลองดูที่หาดใหญ่เป็นตัวอย่าง เมืองนี้เป็นพื้นที่ที่ผมเคยอยู่และทำงานกว่า 40 ปี และเคยลงพื้นที่เขียนบทความ วิจัย และถกเถียงกันมาแทบทุกครั้งเมื่อเกิดน้ำท่วม ทุกครั้งที่น้ำท่วมใหญ่ มักมีคนสรุปว่า “น้ำมาจากสะเดา” ทั้งที่ความจริงแล้ว น้ำเคยทะลักมาทางทิศตะวันออก เช่น คลองหวะ นาหม่อม และก็มีมาจากทิศใต้ตามคลองอู่ตะเภา แต่ระบบเตือนภัยของรัฐกลับเฝ้าระวังเพียงด้านเดียว จนทำให้พื้นที่ที่อยู่ในตำแหน่งซับซ้อนของลุ่มน้ำอู่ตะเภาแห่งนี้ถูกมองแบบแคบเกินไปเสมอ
อีกความเข้าใจผิดที่ฝังหัวคนจำนวนมากคือคิดว่า “น้ำท่วมหาดใหญ่จะขังอยู่หลายวัน” ทั้งที่ข้อมูลจริงตรงกันข้าม เมืองหาดใหญ่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 12–15 เมตร ทำให้ระดับน้ำในเมืองไหลออกได้เร็วมาก ส่วนใหญ่แค่หนึ่งวันกว่าก็ลดลงแล้ว การพูดเรื่องสูบน้ำออกจากเมืองจึงแทบไม่สอดคล้องกับภูมิประเทศจริงของพื้นที่เลย
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่น้ำท่วม คนที่มีตำแหน่งอำนาจจะรีบเสนอโครงการขุดคลองใหม่ อุโมงค์ยักษ์ หรือโครงสร้างขนาดมหึมา ทั้งที่ในสถานการณ์จริง สิ่งที่ช่วยประชาชนได้มากกว่า คือการเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ เช่น จัดบ้านปลอดภัยสำหรับคนชั้นเดียว เตรียมอาหารและไฟสำรอง และสื่อสารเส้นทางอพยพให้เป็นระบบ สิ่งเหล่านี้ทำได้เลย ปรับปรุงได้เร็ว และช่วยคนได้จริง แต่กลับถูกมองข้ามเพราะตรรกะเก่า ๆ ที่เชื่อว่า “โครงสร้างใหญ่เท่านั้นจึงจะแก้ปัญหาได้”
ที่เจ็บปวดที่สุดคือ ขณะที่ฝนกำลังก่อตัวอย่างรุนแรงและข้อมูลเตือนภัยเริ่มปรากฏ สื่อกระแสหลักแทบทุกช่องกลับนำเสนอประเด็นชายแดนไทย กัมพูชาอย่างหนักหน่วงราวกับทั้งประเทศมีเรื่องเดียว เรื่องน้ำท่วมภาคใต้กลับถูกพูดถึงเพียงเศษเสี้ยวของเวลา ทั้งที่การรายงานสักเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ข่าวทั้งหมดก็อาจทำให้จังหวัดท้องถิ่นเตรียมรับมือได้มากกว่าที่เป็นอยู่ และอาจลดความเสียหายลงอย่างมหาศาล
ทั้งหมดนี้ทำให้เราเห็นภาพใหญ่ชัดเจนขึ้นว่า น้ำท่วมภาคใต้ปีนี้ไม่ใช่เหตุการณ์โดดเดี่ยว แต่คือส่วนหนึ่งของโลกที่กำลังเดินหน้าเข้าสู่ภาวะ “โกลาหลทางภูมิอากาศ” หรือ turbulence ที่จะรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่าในอนาคต ปรากฏการณ์ใหม่อย่างแม่น้ำในอากาศจะเกิดถี่ขึ้น ลานิญ่าและ IOD จะเปลี่ยนรูปแบบเร็วขึ้น ระบบกระแสน้ำอุ่นของโลกกำลังอ่อนแรง และเมืองจำนวนมากในไทยยังคงใช้ตรรกะเมื่อวานในการแก้ปัญหาวันนี้
คำถามสำคัญคือ เราจะยอมใช้วิธีคิดแบบเดิมไปอีกกี่ปี ทั้งที่โลกไม่เหมือนเดิมแล้วแม้แต่น้อย ภาคใต้ในวันนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสิ่งที่จะเกิดในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ นี่คือเวลาที่ประเทศไทยต้องทบทวนทั้งระบบ ไม่ใช่แค่โครงสร้างพื้นฐาน แต่รวมถึงวิธีคิด วิธีเตือนภัย วิธีจัดการความเสี่ยง และวิธีที่สื่อให้ความสำคัญกับชีวิตผู้คน
เพราะหากเรายังใช้ตรรกะของเมื่อวานในการรับมือกับโลกวันนี้ เราก็จะพาประเทศทั้งประเทศเข้าสู่อนาคตแบบผิดยุค โดยไม่จำเป็นเลย