THAI CLIMATE JUSTICE for All

ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศในห้องเรียน (ตอนที่ 1)

เขียนโดย Ryan Cho
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2014
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
อ้างอิง Climate Justice in the Classroom It connects everything together

เมื่อผมอายุยังน้อย ผมไม่ได้เป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม และตอนนี้ก็ยังไม่ได้เป็น แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด ผมใส่ใจกับปัญหาสิ่งแวดล้อมเสมอ ผมรีไซเคิลขยะ ใช้ Carpool เท่าที่จะทำได้ ใช้ถุงรีไซเคิล แต่นั่นทำให้ผมเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมหรือยังล่ะ ผมว่ายัง คำว่านักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมยังใช้ไม่ได้กับผม รวมถึงความรับผิดชอบและความคาดหวังที่ตามมาด้วย

เมื่อนานมาแล้ว ผมมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับประเด็นภาวะโลกร้อน ผมรู้ดีว่ามันกำลังเกิดขึ้น ผมรู้ว่าภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบอย่างไรต่อทุกชีวิตบนโลก และเช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยทั้งหลาย ผมรู้ว่ามนุษย์คือสาเหตุของภาวะโลกร้อน อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้อินกับประเด็นนี้นัก บางครั้งผมก็เอาใจใส่ บางครั้งผมก็ละเลย เพราะผลกระทบดูเหมือนจะยังห่างไกล ต้นเหตุดูเหมือนจะมีมากมาย และความกลุ้มใจที่ตามมากับการคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไปดูเหมือนจะมีมากกว่าประโยชน์ที่จะได้

การเรียกร้องของสังคมที่ให้เราพยายาม “อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” หรือ “รักษ์โลก” ซึ่งเป็นแก่นของการรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมและต่อสู้กับภาวะโลกร้อนในช่วงทศวรรษที่ 1990 ที่ผมเติบโตขึ้นมานั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเชื่อมโยงกับปัญหา ผมไม่ได้รู้สึกตื่นตัวกับแคมเปญเพื่อปกป้องต้นไม้หรืออนุรักษ์ธรรมชาติไว้ให้ผู้คนได้ชื่นชม แต่ผมกลับรู้สึกมีส่วนร่วมกับแคมเปญที่ใส่ใจสวัสดิภาพของสัตว์ที่มักทำให้ผมนึกถึงหน้าตาที่เป็นมิตรของพวกมันในเรื่องราวต่างๆที่ผมได้อ่านหนังสือหรือดูทีวีตอนที่ผมยังเด็ก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่พอที่จะทำให้ผมพยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆรอบตัวอย่างมีนัยสำคัญและยั่งยืน ท้ายที่สุดแล้วผมก็ยังเป็นห่วงผู้คนบนโลกมากกว่าธรรมชาติหรือสัตว์ต่างๆอยู่ดี

แน่นอนว่าผมเป็นห่วงผู้คนเป็นอย่างมาก ผมเป็นลูกหลานของชาวจีนที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในแคนาดา และเกิดที่นี่ แต่ก็ยังรู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นผู้ที่อพยพมาจากประเทศจีนอยู่เหมือนเดิม พ่อและแม่ผมมีฐานะยากจน ตาและยายของผมทำงานในครัวเพื่อหาเลี้ยงแม่และน้าของผมด้วยเงินเดือนที่น้อยกว่าคนผิวขาวได้รับจากงานเดียวกันมาก ในฐานะที่เป็นพี่สาวคนโต แม่ของผมต้องเลี้ยงดูน้าชายด้วย ส่วนพ่อของผมนั้นเป็นหนึ่งในพี่น้องแปดคน ปู่ของผมเป็นเจ้าของร้านที่ขายสินค้าจำพวกหมากฝรั่ง หนังสือการ์ตูน และของชำ ส่วนย่าที่ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้มาจนทุกวันนี้มีหน้าที่เลี้ยงดูลูกทั้งแปดคน

แม้ว่าพ่อแม่ของผมมาจากคนละเมือง แต่ก็พูดเหมือนๆกันเกี่ยวกับปู่ย่าและตายายและเหตุผลที่พวกเขาอพยพมาแคนาดา คือพวกเขาทิ้งครอบครัวและชีวิตในเมืองจีนแบบเดียวที่พวกเขารู้จักเพื่อชีวิตที่ดีกว่าของลูกหลาน (ซึ่งบางคนยังอยู่ในท้องของแม่ตอนที่อพยพออกจากประเทศ) เมื่อมาถึงแคนาดา พวกเขาต้องประสบอุปสรรคหลายอย่าง แม้ว่าแคนาดาจะเป็นประเทศที่ให้โอกาสแก่ประชากรที่จะมีชีวิตที่ดี แต่ก็ไม่มีอะไรที่มารับประกันได้ว่าเราจะได้ตามนั้น มันเป็นเรื่องที่ยากลำบาก พวกเขาต้องทำงานหนักและดิ้นรนเพื่อความฝันของตัวเองและเป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงเวลาที่จะได้เห็นผลลัพธ์จากความเหนื่อยยากของตนเองที่ลูกหลานของพวกเขาจะได้รับ

ทุกวันนี้ชาวจีนยังอพยพมาแคนาดาอยู่เรื่อยๆและเสี่ยงที่จะละทิ้งทุกสิ่งอย่างเพื่อความฝันเดียวกัน บ้างก็ได้รับประสบการณ์จากด้านมืดของลัทธิอาณานิคมที่ยังเหลืออยู่ในแคนาดา แต่พวกเขาก็ยังคงทำงานหนักต่อไปเพื่อให้แน่ใจว่าลูกหลานจะไม่ต้องได้รับประสบการณ์แบบเดียวกัน

ความทะเยอทะยานที่จะต่อสู้เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของคนที่เราห่วงใยเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของผมส่งผ่านมาถึงตัวผมเองในวันนี้ และเนื่องจากค่านิยมที่พวกเขาส่งต่อมาให้ผม ทำให้ผมในฐานะที่ “ไม่ใช่นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม” พบว่าตัวเองกำลังทำงานเป็นนักพัฒนาหลักสูตรที่เรียกว่า “โครงการเพื่อความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ”

ความรู้สึกที่คลุมเครือของผมที่มีต่อภาวะโลกร้อนนั้นเปลี่ยนไปเมื่อผมพบการเคลื่อนไหวด้านความเป็นธรรมทางภูมิอากาศที่เป็นมากกว่าการอนุรักษ์ต้นไม้ สัตว์ (ที่น่ารักๆ) หรือการชื่นชมความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศมองว่าภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาจากความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมและปัญหาทางศีลธรรม โดยมีแก่นทางความคิดว่ากลุ่มคนที่ได้รับความทุกข์ยากจากกิจกรรมการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลของมนุษย์มากที่สุดคือกลุ่มคนที่ได้รับประโยชน์จากการกระทำดังกล่าวน้อยที่สุด เป็นแนวคิดที่เห็นความไม่เท่าเทียมในสังคม ปัญหาเรื่องเหยียดเชื้อชาติ ความรับผิดชอบต่อการกระทำในอดีต และประชาธิปไตยที่ต้องมีในแผนเพื่อต่อสู้กับภาวะโลกร้อน

สิ่งเหล่านี้ก็คุ้มค่าต่อการต่อสู้เพื่อให้ได้มา ยิ่งไปกว่านั้น ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศมองว่าการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกและการตั้งรับปรับตัวของชุมชนท้องถิ่นต่อภาวะโลกร้อนเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการสร้างระบบเศรษฐกิจที่มั่นคงในระยะยาวและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนยากจนและเปราะบางทั่วโลก การรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมในยุค 1990 นั้นมักนำโดยชนผิวขาว ทำให้ผมนึกภาพที่ตนเองเข้าร่วมในการณรงค์พวกนั้นไม่ออกเลย ในวันนี้ เราเริ่มเห็นการรณรงค์เพื่อความเป็นธรรมทางภูมิอากาศที่นำโดยชุมชนท้องถิ่น ชนพื้นเมือง กลุ่มรากหญ้า และคนผิวสีที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นการรณรงค์ที่เหมาะสมที่คนอย่างผมและพ่อแม่ของผมจะเข้าร่วม

Scroll to Top