THAI CLIMATE JUSTICE for All

อสูรยักษ์ภูมิอากาศ : ทฤษฎีการเมืองเพื่ออนาคตของโลกเรา

หนังสือ “Climate Leviathan: A Political Theory of Our Planetary Future” (2018) เขียนโดย Joel Wainwright และ Geoff Mann เป็นงานเขียนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในเชิงการเมืองที่โดดเด่นที่สุดเล่มหนึ่ง

Wainwright และ Mann เริ่มต้นจากการให้ภาพรวมของปัญหาภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน โดยแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกที่เป็นผลจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม

พวกเขามองว่าวิกฤติการณ์นี้ไม่ใช่แค่เรื่องการลดการปล่อยก๊าซ แต่ยังเป็นเรื่องการจัดการความไม่เท่าเทียมที่แฝงอยู่ในโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันมีความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจน

ในขณะเดียวกัน ความพยายามในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน เช่น ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) หรือการประชุม COP มักจะขึ้นอยู่กับความร่วมมือในระดับชาติและภูมิภาค แต่ผู้เขียนเชื่อว่าแนวทางดังกล่าวมีข้อจำกัด เนื่องจากยังคงถูกควบคุมโดยรัฐมหาอำนาจที่สามารถเข้าถึงทรัพยากรและมีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายระดับโลก

นอกจากนี้ พวกเขาชี้ให้เห็นว่าความพยายามเหล่านี้อาจยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นในการลดผลกระทบของสภาพภูมิอากาศอย่างแท้จริง

แนวคิด Climate Leviathan: การรวมอำนาจระดับโลก

Climate Leviathan คือโครงสร้างการปกครองระดับโลกที่เกิดขึ้นเพื่อจัดการทรัพยากรและนโยบายสิ่งแวดล้อมโดยมีอำนาจครอบคลุมในทุกประเทศ

แนวคิดนี้มีรากฐานมาจากแนวคิดเรื่อง “Leviathan” ของ Thomas Hobbes ซึ่ง Hobbes เคยกล่าวไว้ว่าการมีอำนาจรวมศูนย์จะช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยและป้องกันความขัดแย้งในสังคมได้

ในกรณีของ Climate Leviathan ผู้เขียนชี้ว่าโครงสร้างนี้จะสามารถควบคุมการใช้งานทรัพยากรธรรมชาติและกำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในระดับโลกอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การกำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับพลังงานสะอาด หรือแม้กระทั่งการจัดสรรทรัพยากรสำคัญเพื่อป้องกันวิกฤติการณ์ทางสิ่งแวดล้อม การมีอำนาจที่รวมศูนย์จะทำให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพได้

แต่ข้อกังวลหลักคือการรวมอำนาจนี้อาจนำไปสู่การผูกขาดอำนาจที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม

Climate Behemoth: การปฏิเสธการรวมศูนย์อำนาจ

ในทางตรงข้ามกับ Climate Leviathan แนวคิด Climate Behemoth คือการเน้นให้แต่ละประเทศสามารถจัดการทรัพยากรในเขตแดนของตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาการควบคุมจากองค์กรระดับโลก แนวทางนี้สนับสนุนให้เกิดการกระจายอำนาจในระดับท้องถิ่น เพื่อให้ชุมชนและสังคมต่าง ๆ มีเสรีภาพในการจัดการสิ่งแวดล้อมของตนเอง

อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศหรือชุมชนต่าง ๆ ดำเนินการแยกกันอาจทำให้การรับมือกับปัญหาสภาพภูมิอากาศในระดับโลกเป็นไปได้ยาก เพราะไม่มีการบังคับใช้นโยบายร่วมที่มีมาตรฐานเดียวกัน

แนวคิดของ Climate Behemoth นี้อาจเข้ากันได้ดีกับขบวนการทางสังคมที่ต้องการต่อต้านระบบทุนนิยมและการรวมศูนย์อำนาจ พวกเขาเชื่อว่าการกระจายอำนาจจะนำไปสู่ความยุติธรรมมากขึ้น

แต่ปัญหาหลักคือการขาดโครงสร้างที่สามารถตอบสนองต่อวิกฤติการณ์ที่มีความซับซ้อนในระดับโลก เช่น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบข้ามพรมแดน

แนวคิด Climate Mao และ Climate X: การตอบสนองเชิงปฏิวัติ

นอกเหนือจาก Climate Leviathan และ Behemoth ผู้เขียนยังนำเสนอแนวคิดของ Climate Mao และ Climate X ซึ่งเป็นแนวทางที่มุ่งเน้นการปฏิวัติแนวคิดการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ

1. Climate Mao – แนวทางนี้มีพื้นฐานมาจากแนวคิดสังคมนิยมแบบปฏิวัติ ที่ต้องการจัดสรรทรัพยากรและการควบคุมสิ่งแวดล้อมโดยรัฐหรือกลุ่มองค์กรที่อยู่ในฐานะนำ ความตั้งใจคือการสร้างระบบที่มีการกำกับดูแลด้านทรัพยากรอย่างเข้มงวด โดยรัฐบาลจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายและบังคับใช้การจัดการสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น แนวคิดนี้เชื่อว่าการจัดการที่เป็นเอกภาพภายใต้รัฐบาลจะช่วยสร้างความเป็นธรรมและลดปัญหาการจัดสรรทรัพยากรได้

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของ Climate Mao คือการที่รัฐบาลอาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการและสภาพแวดล้อมที่หลากหลายของชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. Climate X – Climate X คือแนวคิดการปฏิวัติที่ปฏิเสธการจัดการแบบรวมศูนย์ และเน้นให้ชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญในการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของตนเอง แนวคิดนี้สนับสนุนให้เกิดการร่วมมือของผู้คนในท้องถิ่นเพื่อสร้างโครงสร้างการจัดการที่กระจายอำนาจ โดยยึดหลักการทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตย

Climate X เป็นแนวคิดที่เปิดกว้างและให้เสรีภาพแก่ชุมชนมากที่สุด แต่มีความท้าทายในการรักษาความเป็นเอกภาพของแนวทางการจัดการสภาพภูมิอากาศในระดับโลก เนื่องจากขาดโครงสร้างที่เข้มแข็ง

ผลกระทบทางสังคมของ Climate Leviathan

การสร้างระบบการปกครองแบบ Climate Leviathan อาจก่อให้เกิดผลกระทบที่สำคัญต่อโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในประเด็นของความไม่เท่าเทียม หากอำนาจการควบคุมและจัดการทรัพยากรถูกจำกัดไว้ที่รัฐมหาอำนาจ อาจเกิดปัญหาการเข้าถึงทรัพยากรอย่างไม่เป็นธรรมในประเทศที่ด้อยพัฒนา และประชาชนในประเทศเหล่านี้อาจไม่สามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับทรัพยากรของตนเองได้

นอกจากนี้ โครงสร้างแบบ Leviathan ยังอาจขัดขวางสิทธิเสรีภาพของชุมชนท้องถิ่น เนื่องจากนโยบายและข้อบังคับต่าง ๆ จะถูกกำหนดจากส่วนกลางในระดับโลก ทำให้ขาดความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะของท้องถิ่น และอาจทำให้เกิดการต่อต้านจากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับโครงสร้างการปกครองแบบรวมศูนย์

บทสรุปและคำถามที่ทิ้งไว้

“Climate Leviathan” ทิ้งคำถามสำคัญไว้เกี่ยวกับอนาคตของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสภาพภูมิอากาศ นั่นคือ: เราจะเลือกโครงสร้างการปกครองใดที่สามารถตอบสนองต่อวิกฤติสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม?

ผู้เขียนไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน แต่เสนอให้ผู้อ่านได้พิจารณาถึงผลกระทบในมิติทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่โครงสร้างแต่ละแบบจะมีต่อโลกในอนาคต

การเลือกโครงสร้างการจัดการที่เหมาะสมเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีผลกระทบในวงกว้าง Wainwright และ Mann เชื่อว่าความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่อการเมืองของสภาพภูมิอากาศจะช่วยให้เรามีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับแนวทางการรับมือกับวิกฤติสิ่งแวดล้อมที่กำลังขยายตัว

ผู้เขียนเสนอว่า การจัดการกับปัญหานี้ไม่ใช่เพียงการปรับเปลี่ยนนโยบายในระดับประเทศหรือระหว่างประเทศ แต่คือการสร้างระบบใหม่ที่สามารถตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพทั่วทั้งโลก ซึ่งต้องพิจารณาทั้งในด้านสิทธิ ความเป็นธรรม และการกระจายอำนาจอย่างรอบด้าน

คำถามสำคัญและข้อคิดที่ทิ้งไว้

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เพียงนำเสนอรูปแบบการปกครองที่แตกต่าง แต่ยังเน้นย้ำถึงความท้าทายในการสร้างระบบที่ตอบสนองความต้องการของทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม

ผู้เขียนได้ทิ้งคำถามสำคัญไว้กับผู้อ่านว่า เราจะสามารถสร้างโครงสร้างการปกครองระดับโลกที่เป็นธรรมได้อย่างไร

การรวมศูนย์อำนาจเพื่อจัดการวิกฤติสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบอะไรต่อเสรีภาพและความเป็นธรรมของชุมชนท้องถิ่น?

ในท้ายที่สุด Wainwright และ Mann กระตุ้นให้เราพิจารณาถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครองที่มีอยู่และตั้งคำถามว่า แนวทางใดจะสามารถสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเป็นธรรมสำหรับมนุษยชาติและสิ่งแวดล้อม

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เสนอทางออกที่เป็นที่สุด แต่มุ่งเน้นให้ผู้อ่านได้คิดอย่างลึกซึ้งถึงการเมืองของสภาพภูมิอากาศ และความสำคัญของการจัดการความท้าทายนี้ด้วยความรอบคอบ

Climate Leviathan จึงเป็นทั้งการวิเคราะห์และคำเตือนถึงการตอบสนองต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีมิติทางการเมืองซับซ้อน ซึ่งหากเราไม่พิจารณาและเลือกโครงสร้างที่เหมาะสม ความพยายามในการจัดการวิกฤติอาจไม่ประสบความสำเร็จ และอาจนำไปสู่ความไม่เสมอภาคในระดับโลกและระดับท้องถิ่นแทน

Scroll to Top