THAI CLIMATE JUSTICE for All

วนลูปแห่งความมืดมนของการจัดการฝุ่นและไฟป่า

Cr ภาพ: IMN เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง

กฤษฎา บุญชัย

ปัญหาฝุ่นจากไฟในภาคป่าไม้และการเกษตร เป็นวิกฤติระดับโลก ภูมิภาค และประเทศไทยต่อเนื่องมายาวนาน จากเดิมที่รัฐปล่อยปละละเลยไม่สนใจปัญหามาหลายสิบปี จนกระทั่งปัญหาฝุ่นจากไฟในภาคป่าไม้และเกษตรวิกฤติกระทบต่อประชาชนในวงกว้างอย่างรุนแรง มีประชาชนเดือดร้อนทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม

กล่าวได้ว่า เสียงเรียกร้องจากความเดือดร้อนของสาธารณะคือแรงกดดันให้รัฐต่อเร่งหาทางจัดการ แต่รัฐจัดการอย่างไร ที่ยิ่งกลายเป็นปัญหาวนลูปขยายความรุนแรงทางนิเวศและสังคมมากยิ่งขึ้น

เริ่มจากรัฐเน้นการควบคุมอำนาจเหนือพื้นที่ป่า ด้วยการจัดการป่าอนุรักษ์ทั้งในรูปแบบอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และอื่น ๆ ด้วยการปิดล้อมและเบียดขับชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ป่าให้ออกจากพื้นที่ ด้วยอคติที่มองว่าชาวบ้านโดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์คือต้นเหตุของการทำลายป่า สร้างวาทกรรมที่กล่าวหาชาวบ้าน เช่น “ชาวบ้านเผาป่าเพื่อเก็บเห็ด เก็บผักหวาน” ทั้ง ๆ ที่งานวิจัยยืนยันตรงกันว่า ปัญหาการทำลายป่า โดยเฉพาะไฟป่านั้น สาเหตุหลักมาจากภาคอุตสาหกรรมเกษตร เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่รุกคืบพื้นที่ป่าไปทั่วภูมิภาคอาเซียน แต่รัฐกลับส่งเสริม

อุตสาหกรรมเหล่านี้โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อป่าและชุมชน และอีกสาเหตุก็คือ ความไม่เป็นธรรมของนโยบายการจัดการป่าของรัฐที่มุ่งกดดันปิดล้อมชุมชน สร้างความขัดแย้งระหว่างรัฐกับชาวบ้าน จึงไม่เกิดความร่วมมือจัดการป่าและไฟป่าให้ยั่งยืนและเป็นธรรม มายาคติต่อมาคือ ขาดความเข้าใจต่อระบบนิเวศป่าของประเทศไทย

ทั้งที่ในวิชาการวนศาสตร์ สังคมศาสตร์เห็นตรงกันว่า ระบบนิเวศป่าบางประเภท เช่น ป่าเต็งรังบนพื้นที่สูง เป็นป่าที่ต้องมีไฟในระบบห่วงโซ่ทางนิเวศเพื่อทำให้ระบบนิเวศมีความหลากหลายทางชีวภาพ ชุมชนท้องถิ่นดังเช่น ชุมชนกะเหรี่ยงและอีกหลายชาติพันธุ์จึงเรียนรู้ที่จะใช้ไฟในระบบวนเกษตร เช่น ไร่หมุนเวียนของตนเอง ซึ่งเป็นการใช้นิเวศเป็นแนวทางแก้ปัญหา (natural based solution) เพื่อรักษานิเวศ สร้างความมั่นคงอาหาร การรับมือภัยพิบัติได้อย่างดี เพราะพื้นที่ป่าที่ชุมชนมีการจัดการไฟ จะป้องกันไม่ให้ป่าสะสมใบไม้ที่เป็นเชื้อไฟมากเกินกว่าธรรมชาติจะจัดการได้

แต่ด้วยมายาคติหรือความไม่รู้ของรัฐที่มีต่อชุมชนและต่อป่าได้เร่งขยายความรุนแรงในการจัดการฝุ่นและไฟป่าให้โหมกระพือขึ้น จากนโยบายห้ามเผาอย่างสิ้นเชิง (Zero Burning) โดยสั่งห้ามชุมชนใช้ไฟในพื้นที่ป่าทุกประเภทตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม แต่ก็ถูกชุมชน ประชาสังคม นักวิชาการ แม้กระทั่งหน่วยงานรัฐส่วนอื่น ๆ ก็เห็นตรงกันว่า เป็นนโยบายที่ยิ่งสร้างภัยพิบัติ เพราะเป็นการสั่งสมใบไม้ในป่าไว้มากเกินจนกลายเป็นเชื้อไฟที่รุนแรงยากควบคุม อีกทั้งการห้ามชาวบ้านใช้ไฟในการทำเกษตร ทำให้ชุมชนไม่สามารถดำรงชีพพึ่งตนเองในการผลิตอาหารจากการเกษตรได้เลย

ทั้งชุมชนและทุกภาคส่วนจึงผลักดันนโยบายการส่งเสริมความเข้มแข็งชุมชนในการจัดการไฟ จัดการป่า ด้วยการใช้ไฟให้เหมาะกับนิเวศและการดำรงชีพเพื่อป้องกันหายนะไฟป่า พร้อมไปกับเสนอให้รัฐควบคุมจัดการกับอุตสาหกรรมการเกษตรที่เป็นตัวเร่งผลักดันการปลูกพืชพาณิชย์ที่ก่อให้เกิดไฟอย่างรุนแรง ให้อุตสาหกรรมเหล่านี้มีความรับผิดชอบต่อนิเวศ ต่อชุมชนและสังคม

แต่แล้วรัฐบาลชุดนี้ก็ยังกลับไปยืนยันนโยบายห้ามเผาสิ้นเชิง และส่งมอบอคติทางวาทกรรมไปให้คนเมืองที่ไม่รู้สาเหตุไฟป่าให้มองชุมชนเป็นจำเลย ทั้งวาทกรรมชาวบ้านเผาป่าเก็บเห็ด เก็บผัก และสารพัดชนิด แต่ปล่อยให้ผู้สร้างความเสียหายตัวจริง คือ ทุนอุตสาหกรรมเกษตรลอยนวลจากปัญหา

นั่นเป็นเหตุให้ทำไมเครือข่ายชุมชนในพื้นที่ป่าต่าง ๆ ได้รวมตัวกันชุมชนหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่กว่า 2,000 คนในเวลานี้เพื่อเรียกร้องให้รัฐจัดการไฟป่าให้ถูกต้อง และผลักดันให้แก้ไขกฎหมายป่าอนุรักษ์ที่เป็นต้นทางแห่งอคติ และผลักดันร่างพรบ.คุ้มครองวิถีชีวิตชาติพันธุ์ เพื่อส่งเสริมระบบการจัดการนิเวศของชาติพันธุ์เพื่อธำรงความหลากหลายทางชีวภาพ จัดการไฟป่า รับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

อยู่ที่ว่ารัฐอยากจะวนลูปแห่งหายนะต่อไปบนความล่มสลายทางนิเวศและสังคม หรือต้องการจะเปลี่ยนผ่านสู่การจัดการไฟ ป่า นิเวศและวัฒนธรรมที่ยั่งยืนและเป็นธรรม

Scroll to Top