
บทความนี้ตั้งคำถามถึงการใช้ถ้อยคำอย่าง Sustainable Development Goals (SDG) และ Environmental, Social and Governance (ESG) ซึ่งในฐานะ “ภาษากลาง” สำหรับการสื่อสารด้านพัฒนาและสิ่งแวดล้อม ได้กลายเป็นวาทกรรมหลักในโลกนโยบายและธุรกิจ
ภาษาดังกล่าวแม้จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดเป้าหมายและสร้างฉันทามติในระดับนานาชาติ แต่กลับมีแนวโน้มทำให้ประเด็นเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนถูกทำให้เรียบแบน บดบังประสบการณ์ชีวิตของผู้คนในพื้นที่จริง โดยเฉพาะชุมชนชายขอบ
ตัวอย่างจากประเทศไทยและต่างประเทศ เช่น กรณี REDD+ ในอินโดนีเซีย การลงทุน ESG ในอเมซอน และเหมืองทองคำในเปรู ถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงอำนาจของภาษาในการนิยามโลก บทความเสนอให้มีการเปิดพื้นที่ให้กับ “ภาษาของชุมชน” และวิธีการเล่าเรื่องอื่นที่คงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ ความรู้ และจริยธรรมต่อโลกที่ไม่สามารถวัดผลเป็นดัชนีได้
1.ถ้อยคำ
- การใช้ถ้อยคำอย่าง SDG และ ESG กลายเป็นมาตรฐานของการพูดคุยเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม ความเหลื่อมล้ำ และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในปัจจุบัน
- ภายใต้กรอบคิดนี้ โลกถูกมองว่าเป็นระบบที่สามารถจัดการได้หากมีเครื่องมือวัดผลที่เหมาะสม
- อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงในภาคสนามกลับสะท้อนให้เห็นว่า ถ้อยคำเหล่านี้อาจบดบังความซับซ้อนทางสังคม วัฒนธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ (Escobar, 2018)
- “ถ้อยคำสวยงาม” อาจเป็นกับดักทางความเข้าใจที่ทำให้เราสูญเสียการเชื่อมโยงกับชีวิตจริงมากกว่าที่เราคิด
2. SDG และการลบเลือนของโครงสร้างปัญหา
- SDG ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเป้าหมายร่วมของประชาคมโลก โดยเฉพาะหลังปี 2015 ที่เปลี่ยนจาก Millennium Development Goals มาเป็น Sustainable Development Goals ซึ่งมีทั้งหมด 17 เป้าหมาย อย่างไรก็ตาม หลายเป้าหมายแม้จะเน้นเรื่อง “สิทธิ” หรือ “ความเท่าเทียม” แต่กลับวัดผลด้วยตัวชี้วัดเชิงเทคนิคที่ไม่สามารถสะท้อนความเป็นจริงทางวัฒนธรรมและการเมืองของชุมชนท้องถิ่นได้ (Fukuda-Parr & McNeill, 2019)
- ตัวอย่างจากประเทศไทย เช่น กรณีโครงการ REDD+ ในพื้นที่ป่าภาคเหนือ มีวัตถุประสงค์ลดการตัดไม้ทำลายป่าโดยให้ผลตอบแทนคาร์บอนเครดิตแก่รัฐ แต่กลับมีผลให้ชาวบ้านที่ใช้ป่าอย่างยั่งยืนถูกจำกัดการเข้าถึงป่าซึ่งเป็นฐานอาหารและวัฒนธรรมดั้งเดิม (Chotika & Paramee, 2021)
- ในระดับนานาชาติ งานศึกษาของ Beymer-Farris & Bassett (2012) แสดงให้เห็นว่าการดำเนินโครงการ REDD+ ในแทนซาเนียภายใต้เป้าหมาย SDG 13 (Climate Action) ได้กลายเป็นเครื่องมือในการขับไล่ชาว Maasai ออกจากพื้นที่เพื่อประกาศเขตอนุรักษ์ ทั้งที่ชุมชนมีประวัติศาสตร์ในการจัดการป่าอย่างยั่งยืนมายาวนาน
3. ESG กับความดีที่วัดได้ แต่ไม่ฟังเสียง
- ESG เป็นแนวคิดที่เติบโตขึ้นจากโลกการเงินและการลงทุน โดยเฉพาะหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ซึ่งนักลงทุนต้องการวัดความเสี่ยงที่ไม่ใช่แค่ด้านการเงิน เช่น ความเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมหรือความขัดแย้งทางสังคม แม้แนวคิดนี้มีศักยภาพในการผลักดันธุรกิจให้ “รับผิดชอบมากขึ้น” แต่ในทางปฏิบัติ ESG มักเน้นที่การจัดทำรายงาน (disclosure) มากกว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจ (Vormedal & Ruud, 2009)
- ตัวอย่างจากลาตินอเมริกา กรณีเหมืองทองคำในเปรูที่มีรายงาน ESG ดีเด่นและได้รับการรับรองจากสถาบันนานาชาติ แต่กลับมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ รวมถึงการปนเปื้อนของแหล่งน้ำและการใช้ความรุนแรงในการขับไล่ชุมชนท้องถิ่น (Urkidi, 2010)
- ในบราซิล หลายบริษัทผลิตถั่วเหลืองที่ได้รับการจัดอันดับ ESG สูง กลับมีความเชื่อมโยงกับการทำลายป่าแอมะซอน โดยการรับรอง ESG ไม่สามารถตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานลึกถึงต้นทางได้ (Rajão et al., 2020)
4. ความเงียบของเสียงพื้นถิ่น
- การวัด “ความยั่งยืน” ในกรอบ ESG หรือ SDG มักไม่เปิดพื้นที่ให้กับภาษาของชุมชน เช่น ความสัมพันธ์กับผืนดิน ความศักดิ์สิทธิ์ของแม่น้ำ หรือสิทธิทางวัฒนธรรมในพื้นที่ พวกเขากลายเป็น “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ที่ถูกขอให้ “แสดงความคิดเห็น” ในแบบฟอร์ม มากกว่าจะเป็นเจ้าของความรู้และชีวิตตนเอง
- ในอินโดนีเซีย นักวิจัยจาก CIFOR พบว่าชาวปาปัวหลายกลุ่มสูญเสียพื้นที่ให้กับสวนปาล์มน้ำมันที่ได้การรับรอง ESG จากต่างประเทศ โดยที่ไม่มีการถามถึงแนวคิดของชาวพื้นเมืองเรื่อง “ที่ดินคือร่างกายของบรรพบุรุษ” ซึ่งไม่มีในแบบสอบถามหรือกรอบการวัดใดๆ (Myers, 2020)
5. สู่ภาษาที่ยังมีชีวิต: เสนอทางเลือกของความรู้
- แทนที่จะละทิ้งถ้อยคำอย่าง SDG หรือ ESG เราควรวิพากษ์และ “เปิดภาษานั้นออก” เพื่อให้เห็นความซับซ้อนในแต่ละพื้นที่ และส่งเสียงให้ “ภาษาที่ยังมีชีวิต” เช่น ภาษาของผู้หญิงในชุมชน ภาษาพื้นเมือง หรือภาษาจริยธรรมของธรรมชาติได้มีที่ยืนในวงสนทนา
- การเปิดให้ “โลกหลายใบ” (pluriverses) ซึ่ง Escobar (2018) กล่าวถึง หมายถึงการยอมให้แต่ละชุมชนมีนิยามของความอยู่ดีมีสุขในแบบของตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องปรับให้เข้าในกรอบโลกาภิวัตน์เดียว
6. สรุป
- ถ้อยคำอย่าง SDG หรือ ESG อาจช่วยสร้างความเข้าใจร่วมในระดับโลก แต่ในกระบวนการนั้นมีความเสี่ยงที่เราจะทำให้โลกแบนราบ ลบความซับซ้อนของชีวิต และเปลี่ยนความทุกข์ของผู้คนให้กลายเป็นเพียงค่าตัวเลขทางนโยบาย
- หากเราต้องการโลกที่ยุติธรรมและยั่งยืนอย่างแท้จริง เราต้องสร้างภาษาที่เปิดพื้นที่ให้กับเสียงของผู้คน ธรรมชาติ และความรู้ที่ยังมีชีวิต
อ้างอิง
Beymer-Farris, B. A., & Bassett, T. J. (2012). The REDD menace: Resurgent protectionism in Tanzania’s mangrove forests. Global Environmental Change, 22(2), 332–341.
Chotika, P., & Paramee, T. (2021). REDD+ and community rights: Lessons from northern Thailand. Southeast Asian Studies Journal, 59(3), 411–435.
Escobar, A. (2018). Designs for the pluriverse: Radical interdependence, autonomy, and the making of worlds. Duke University Press.
Fukuda-Parr, S., & McNeill, D. (2019). Knowledge and politics in setting and measuring SDGs: Introduction to special issue. Global Policy, 10(S1), 5–15.
Myers, R. (2020). Local land values and the ESG paradox: Palm oil in Papua, Indonesia. Center for International Forestry Research (CIFOR) Working Paper.
Rajão, R., Soares-Filho, B., Nunes, F., et al. (2020). The risk of fake deforestation data in Brazil’s beef and soy supply chains. Science, 369(6501), 246–248.
Urkidi, L. (2010). A global environmental movement against gold mining: Pascua-Lama in Chile. Ecological Economics, 70(2), 219–227.
Vormedal, I., & Ruud, A. (2009). Sustainability reporting in Norway: An assessment of performance in the context of legal reform. Business Strategy and the Environment, 18(4), 207–222.