THAI CLIMATE JUSTICE for All

บทวิพากษ์ “Sector Actions Towards a Nature-Positive Future” โดย Business for Nature

ที่มา : Sector Actions Towards a Nature-Positive Future

มองผ่านเลนส์ความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิของธรรมชาติ และเสียงของผู้ที่ถูกทำให้ล่องหน

ในบทความของ Business for Nature ได้มีความพยายามอย่างชัดเจนในการดึงภาคธุรกิจให้เข้ามามีบทบาทต่อการหยุดยั้งและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพผ่านแนวทาง ACT-D และการจัดทำแนวทางเฉพาะภาคส่วน (Sector-specific actions) ซึ่งดูเผิน ๆ อาจถือเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนกับความพยายามด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก

แต่หากเรามองจากกรอบความคิดเชิงนิเวศน์ที่เน้นความเป็นธรรม เราจะพบว่าบทความนี้กลับสะท้อน โครงสร้างอำนาจที่ไม่เปลี่ยนแปลง และยังคงมองปัญหาธรรมชาติผ่านสายตาของผู้ควบคุมระบบเศรษฐกิจ มากกว่าผู้ที่มีชีวิตอยู่กับธรรมชาตินั้นจริง ๆ

1. 10 วินาทีในชีวิตของผู้ได้รับผลกระทบ ชีวิตที่ระบบไม่เคยรอ

หากเรานำแนวคิด “10 วินาทีในสิ่งแวดล้อม” มาช่วยเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนอยู่ในภาษาทางเทคนิคของบทความ เราอาจตั้งคำถามว่า ในขณะที่ธุรกิจกำลัง “ตั้งเป้าหมาย” และ “เริ่มวัดผลกระทบ” 10 วินาทีในชีวิตของใครบางคนกำลังเกิดอะไรขึ้น เช่น แม่บ้านในชุมชนริมแม่น้ำต้องเดินไปตักน้ำจากคลองที่ปนเปื้อนสารเคมีจากโรงงานอุตสาหกรรม

เด็กๆ ใกล้เหมืองในอินโดนีเซียหรือโบลิเวียได้รับสารตะกั่วผ่านดิน น้ำ และอาหารทุกมื้อ

คนพื้นเมืองในอเมซอนถูกขับไล่ออกจากผืนป่าที่บรรพชนของพวกเขาอยู่มาหลายร้อยปีเพื่อเปิดทางให้ “ธุรกิจธรรมชาติ” ที่อ้างว่าฟื้นฟูระบบนิเวศ

บทความของ Business for Nature แทบไม่แตะต้อง “ประสบการณ์ที่มีตัวตนจริง” เหล่านี้เลย ทั้งที่เป็นหัวใจของสิ่งที่เรียกว่า “ความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อม” (environmental justice) ซึ่งต้องไม่ใช่แค่เรื่องของ “ธุรกิจจะทำอะไร” แต่เป็นเรื่องของ “ใครควรมีอำนาจในการตัดสินใจว่าโลกควรเป็นอย่างไร”

2. “ธรรมชาติ” ยังเป็นทรัพย์สิน ไม่ใช่ผู้มีสิทธิ

บทความนี้ยังตั้งอยู่บนฐานคิดแบบ anthropocentric หรือมนุษย์เป็นศูนย์กลาง — ซึ่งมองธรรมชาติเป็น “ทรัพยากร” หรือ “สินทรัพย์” ที่ธุรกิจควรบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่าจะยอมรับว่า “ธรรมชาติ” มีสิทธิของตัวเอง (rights of nature)

ตัวอย่างเช่น ไม่มีการพูดถึง การให้สถานะทางกฎหมายแก่แม่น้ำหรือป่า (เช่น กรณีแม่น้ำ Whanganui ในนิวซีแลนด์)

การยอมรับว่า สัตว์ป่า, ดิน, น้ำ ไม่ใช่เพียงองค์ประกอบของระบบ แต่เป็น “พลเมืองร่วมโลก”

แนวคิดเหล่านี้ถูกพัฒนาขึ้นในขบวนการสิ่งแวดล้อมจากโลกใต้ (Global South) เช่น โบลิเวีย หรือเอกวาดอร์ ที่รัฐธรรมนูญของพวกเขารับรอง “สิทธิของปาจามามา (Pachamama)” หรือแม่ธรณี

3. “การเปลี่ยนผ่าน” ที่ไม่แตะโครงสร้างอำนาจ

แม้ Business for Nature จะใช้คำว่า “Transform” (เปลี่ยนแปลง) แต่โครงสร้างของแนวทางยังคงเป็นแบบ สมัครใจ (voluntary) และยังให้อำนาจนำแก่ภาคธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีทุน เทคโนโลยี และความสามารถในการจัดการข้อมูล มากกว่าชุมชนท้องถิ่นที่อาจไม่มีทรัพยากรจะเข้าร่วมใน “กระบวนการสร้างผลลัพธ์” นี้ได้เลย

Arturo Escobar นักนิเวศวิทยาการเมืองชาวโคลอมเบีย ตั้งคำถามว่า

“เราจะพูดถึงโลกหลายโลก (pluriverse) ได้อย่างไร หากเรายังให้ทุนและเทคโนแครตเป็นผู้ออกแบบอนาคตของโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว”

เขาเสนอให้เปลี่ยนจากแนวคิดการ “บริหารจัดการธรรมชาติ” ไปสู่การ “อยู่ร่วมกับธรรมชาติบนฐานของความสัมพันธ์” ซึ่งแนวคิดแบบ Business for Nature ยังไปไม่ถึง

4. ความรุนแรงที่มองไม่เห็น Slow Violence ของ Rob Nixon

Rob Nixon เสนอแนวคิด “Slow Violence” คือความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ ทำลายชีวิต และมักไม่ปรากฏในสื่อหรือรายงานเชิงเทคนิค เช่นเดียวกับที่บทความนี้หลีกเลี่ยงการพูดถึง

การผลักความรับผิดชอบไปในอนาคต ผ่าน “การตั้งเป้าหมายระยะยาว” หรือ “การเปิดเผยข้อมูลภายหลัง” คือการทำให้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทุกวันในชุมชนเล็ก ๆ ถูกมองข้าม เหมือนเป็น “ของเสียที่ยอมรับได้”

ข้อเสนอ ถ้าอยากเป็น Nature-Positive จริง ต้องกล้าทบทวน 3 เรื่องนี้

1. ใครได้กำหนดความหมายของธรรมชาติ? ชุมชนต้องมีอำนาจในการร่วมออกแบบเป้าหมายด้านธรรมชาติ ไม่ใช่แค่รับผลลัพธ์จากกระบวนการของทุน

2. ใครรับภาระต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม การฟื้นฟูต้องไม่กลายเป็นข้ออ้างในการผลักภาระไปสู่ผู้มีอำนาจต่อรองน้อยที่สุด

3. ธรรมชาติมีสิทธิในตัวเองหรือไม่ เราต้องก้าวข้ามแนวคิดที่ว่า “ธรรมชาติมีค่าเพราะให้บริการ” ไปสู่การเคารพธรรมชาติในฐานะเพื่อนร่วมโลกที่เราต้องอยู่ด้วยกันอย่างเท่าเทียม

สรุป ความเป็นธรรมในธรรมชาติ ไม่ใช่แค่เรื่องของการจัดการ แต่คือเรื่องของอำนาจ

การเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกที่ “เกื้อหนุนธรรมชาติ” ต้องไม่ใช่แค่โลกที่ธุรกิจมีวิธีใหม่ในการทำกำไร แต่ต้องเป็นโลกที่ให้เสียงกับธรรมชาติ ให้สิทธิกับผู้ถูกกดทับ และกล้าทบทวนอำนาจของระบบเศรษฐกิจที่เราดำรงอยู่

การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าเรามองไม่เห็นว่า ทุกๆ 10 วินาทีที่ระบบยังไม่เปลี่ยนแปลง มีใครบางคนที่กำลังเจ็บปวดอยู่จริง ๆ

Scroll to Top