
“การรักษาธรรมชาติ มันคืนหลายอย่างให้ชุมชน เรารักป่า ป่ารักเรา เราต้องพึ่งป่า ป่าต้องพึ่งมนุษย์ คนกับป่าต้องอาศัยอยู่ด้วยกัน”
ชาวบ้านชนเผ่ากะเหรี่ยงปกากะญอนั่งคุยกันในวงสนทนาระหว่างการเฝ้าสังเกตสถานการณ์ไฟป่า ทำให้แอดติดใจคำว่า “ธรรมชาติเกื้อกูลกัน” เป็นคำที่ฟังแล้วรู้สึกถึงการเชื่อมโยงชีวิตระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
ชนเผ่ากะเหรี่ยงมีความเชี่ยวชาญในการทำนายสภาพอากาศ ผ่านสัญญาณเตือนภัยแล้งโดยการสังเกตจากสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติ “จักจั่น” หมายถึงการสังเกตจำนวนจักจั่น หากปีไหนที่มีจำนนจักจั่นเยอะกว่าปกติ ก็จะเป็นสัญญาณของการเกิดภัยแล้ง และการที่ใบไม้ร่วงเร็วกว่าปกติ ก็จะเป็นสัญญาณของภัยแล้งด้วยเช่นกัน
ทำให้ชาวบ้านเร็วต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ และเร็วต่อการหาวิธีการปรับตัวและรับมือกับภัยธรรมชาติที่ไม่ทำลายธรรมชาตได้เร็วกว่าอื่น ๆ
ในวงสนทนานี้ไม่ได้พูดถึงการดูแลป่า อนุรักษ์ป่าเพียงอย่างเดียว หากยังพูดถึงชีวิตของตนเอง ที่ต้องพึ่งพาป่า ชาวบ้านคนนี้ได้พูดว่า “การที่เราทำเกษตร ทำเพื่อส่งลูก ส่งหลานเรียนหนังสือ ป่าคอยให้ผลผลิตเราตามฤดู มีข้าวให้เรากิน มีน้ำให้เราดื่ม น้ำที่เราเห็น ล่อเลี้ยงชีวิต ทุกวินาที ถ้าเราตื่นมาไม่ได้กินน้ำ มันจะเป็นอย่างไร……”
คนอยู่กับป่าคงมีภูมิปัญญาเพื่อใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในป่า เกิดความผูกพันระหว่างมนุษย์ที่ใช้ประโยชน์ พึ่งพากันจนเกิดความรัก ที่คอยเตือนใจตั้งแต่บรรพชนปลูกฝังให้ ดูแล ปกป้อง ฟื้นฟูมามาสืบนานจนถึงปัจจุบัน