
“แม่น้ำโขง” เส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงอารยธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานับพันปี กำลังแย่ลงทุกที ย้อนกลับไปประมาณ 10–20 ปีที่ผ่านมา การสร้างเขื่อนเหนือแม่น้ำโขงตอนบนในจีน ไล่เรียงลงมาเป็นขั้นบันไดถึง 11 เขื่อน ส่งผลต่อปริมาณน้ำและการไหลของแม่น้ำอย่างชัดเจน ไม่กี่ปีก่อนเขื่อนแม่น้ำโขงตอนล่างในลาวใกล้ไทย ก็ถูกสร้างขึ้น ส่งผลกระทบต่อชุมชนริมฝั่งไทย-ลาวในภาคอีสาน ยาวลงไปถึงกัมพูชาและเวียดนาม
เพื่อผลิตไฟฟ้าที่ “ใครต้องการ?” ปัจจุบันไทยมีไฟสำรองเกือบ 50% อ้างอิงจากกำลังผลิตที่ติดตั้ง (Installed Capacity) ทั้งที่จริงแล้วมาตรฐานสากรและที่ประเทศไทยกำหนดไว้เองอยู่เพียง 15% เท่านั้น กล่าวคือ เรามีไฟฟ้าสำรองมากเกินความจำเป็นอย่างน่าตกใจ แต่การสร้างเขื่อนและโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ก็ยังคงเดินหน้าต่อไป
ความย้อนแย้งนี้ทำให้เห็นว่าโครงการเขื่อนจำนวนมาก ไม่ได้เกิดจากความจำเป็นในการใช้ไฟของประชาชนเป็นหลัก หากแต่เป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองของผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งผลลัพธ์คือชุมชนริมโขงและระบบนิเวศต้องจ่ายต้นทุน ขณะที่ประชาชนกลับต้องแบกรับค่าไฟที่สูงขึ้น แม้ประเทศจะมีไฟฟ้า “ล้นเกิน” อยู่แล้วก็ตาม
โครงการเขื่อนเหล่านี้ทำให้ชาวบ้านและกลุ่มชาติพันธุ์ริมโขงต้องอพยพ สูญเสียที่ดินทำกิน และถูกบังคับให้ปรับตัว หลายคนจึงต้องเปลี่ยนอาชีพจากเกษตรหรือประมงไปสู่การขายแรงงานในตัวเมือง การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้วิถีชีวิต วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ของคนริมฝั่งโขงค่อย ๆ สูญสลาย
แม่น้ำโขงเองก็สูญเสียความสมบูรณ์ ระบบนิเวศพัง ปลาอพยพและวางไข่ผิดฤดู ตะกอนที่เคยหล่อเลี้ยงชีวิตสัตว์น้ำถูกกักไว้ในเขื่อน ระดับน้ำผันผวน สาหร่ายตายเป็นแพ ชาวประมงริมฝั่งหลายจังหวัด อย่างนครพนม หนองคาย อุบลราชธานี ต้องปรับตัว เมื่อก่อนชาวบ้านสามารถลงไปหาปลาเหมือนซื้อในตลาด แต่ปัจจุบันปลาในแม่น้ำหายาก ต้องพึ่งพาปลาจากฟาร์มและร้านค้า วิถีประมงพื้นบ้านที่ควรสืบต่อไปยังคนรุ่นใหม่ถูกตัดขาด
เมื่อ 16–17 สิงหาคม 2568 เครือข่าย Thai CCAN ได้จัดเวที “เขื่อนไม่ใช่พลังงานสะอาด และการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมและยั่งยืน” กับชาวบ้านจังหวัดบึงกาฬ โดยบรรยายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหัวข้อเขื่อน แผนพลังงานไทย และการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม โดยกฤษฎา บุญชัย (TCJA) อีกทั้งมีกิจกรรมฐานความรู้ เช่น ฐานเก็บตะวัน, กองโจรโซล่า, ฐานระยองพลังงานสะอาด และฐานแสงสุรีพาวเวอร์
นอกจากความรู้แล้ว ยังมีการอบรมปฏิบัติการโซลาร์เซลล์ในภาคเกษตรปลอดสาร และปิดท้ายด้วยการร่วมแถลงการณ์ “เขื่อนไม่ใช่พลังงานสะอาด” ซึ่งกลายเป็นโอกาสสำคัญที่ชุมชนจะได้มองเห็นทางเลือกพลังงานที่ยั่งยืนและยุติธรรมกว่า
อนาคตที่ชาวบ้านอยากเห็น มีตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมบ้างแล้ว เช่น ที่อำเภอบุ่งคล้า อปท. สนับสนุนโซลาร์เซลล์ในแปลงเกษตร ลดค่าไฟได้ 5–6 พันบาทต่อเดือน พวกเขาหวังว่าการสนับสนุนแบบนี้จะขยายไปทั่วทั้งชุมชน ขณะที่อีกหลายเสียงสะท้อนตรงกันว่า รัฐควร “มาฟังชาวบ้าน” มากกว่าการยกโครงการใหญ่มาให้ตัดสินใจแทน
คำถามที่ตามมาคือ ถ้าเขื่อนและโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่รัฐลงทุนมหาศาลจริง ๆ ทำให้ค่าไฟถูกลง ทำไมเรายังจ่ายแพงอยู่ ทั้งที่ไฟฟ้าสำรองล้นเกือบ 50% เกินกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้แค่ 15% นี่คือความย้อนแย้งที่สะท้อนว่า “พลังงาน” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเทคนิค แต่เป็นเรื่องสิทธิชุมชนและความเป็นธรรมทางสังคมด้วย
เสียงสะท้อนจากเวทีในบึงกาฬจึงไม่ได้มีแค่การคัดค้าน “เขื่อน” แต่ยังแฝงความหวังว่าจะมีทางเลือกอื่นที่จับต้องได้ หลายคนสนใจการไม่พึ่งพาโครงการใหญ่ และอยากเห็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานแสงอาทิตย์ ที่ชุมชนสามารถร่วมกันบริหารจัดการได้เองในรูปแบบ “พลังงานชุมชน”
แต่ขณะเดียวกัน หลายคนก็ยอมรับตามตรงว่า เรื่องพลังงานหมุนเวียนยังดู ไกลตัว และบางครั้งก็ หมดหวัง เพราะไม่เห็นตัวอย่างจริงใกล้ ๆ บ้าน ที่พิสูจน์ได้ว่ามันใช้งานได้จริง ประหยัดจริง และไม่ถูกทิ้งกลางทาง
เสียงจากเวทีบึงกาฬชี้ชัดว่า การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมไม่ใช่เรื่องไกลตัว หากรัฐเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมและลงทุนในพลังงานทางเลือกเล็ก ๆ เช่น โซลาร์เซลล์เกษตรที่ช่วยลดค่าไฟได้จริง แทนการผลักดันเขื่อนหรือโครงการใหญ่ที่คนท้องถิ่นไม่ได้ตัดสินใจ เพราะนโยบายพลังงานในอนาคตไม่ควรสร้างเพียงไฟฟ้า แต่ต้องสร้าง พลังของชุมชน ไปพร้อมกัน
ณัฐนนท์ นาคคง TCJA รายงาน








