THAI CLIMATE JUSTICE for All

สิงคโปร์กับบทใหม่ของความมั่นคงทางอาหาร

สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีพื้นที่เพาะปลูกจำกัดและต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารเกือบทั้งหมด จุดเปราะบางนี้ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจนตั้งแต่วิกฤตอาหารโลกปี 2551 ที่ทำให้ราคาอาหารพุ่งสูงและห่วงโซ่อุปทานสั่นคลอน รัฐบาลสิงคโปร์จึงเริ่มวางแผนความมั่นคงทางอาหารอย่างจริงจังในปี 2556 โดยมี 3 กลยุทธ์หลักคือ การผลิตในท้องถิ่น การกระจายแหล่งนำเข้า และการกักตุนสินค้า

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ในช่วงแรกยังเน้นไปที่เกษตรในเมืองและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นหลัก แต่เมื่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2562–2563 ทำให้เกิดการหยุดชะงักของการขนส่งระหว่างประเทศและอาหารขาดแคลน ความเปราะบางนี้ยิ่งเห็นชัด รัฐบาลจึงยกระดับเป้าหมายใหม่ที่ทะเยอทะยานขึ้นภายใต้คำขวัญ “30 ภายใน 30” ตั้งเป้าผลิตอาหารในประเทศให้ได้ 30% ของความต้องการภายในปี 2573 จากเดิมที่ผลิตได้ไม่ถึง 10%

การผลักดัน โปรตีนทางเลือก ไม่ได้เกิดจากเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมเหมือนในยุโรป แต่เกิดจากแรงกดดันด้าน ความมั่นคงทางอาหาร โดยตรง ปี 2563 กระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมได้เปิดตัวแคมเปญ Singapore Food Story และจัดงบประมาณกว่า 144 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพื่อสนับสนุน 3 ด้านหลัก การผลิตอาหารในเมืองอย่างยั่งยืน การพัฒนาอาหารแห่งอนาคต เช่น เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง โปรตีนจากการหมัก และอาหารจากเทคโนโลยีชีวภาพ ฯลฯ และความปลอดภัยทางอาหาร ผ่านงานวิจัยและนวัตกรรม

สิ่งนี้ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นประเทศแรกในโลกที่อนุมัติการขาย เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง ในเดือนธันวาคม 2563 สร้างประวัติศาสตร์สำคัญและดึงดูดสายตาทั่วโลก

โควิด-19 เป็นแรงกระตุ้นสำคัญ แต่ไม่ใช่ปัจจัยเดียว ความกังวลเรื่อง สุขภาพและโภชนาการ ของประชาชน ประกอบกับแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้สังคมสิงคโปร์เริ่มเปิดพื้นที่มากขึ้นสำหรับนวัตกรรมอาหาร แม้แรงผลักจากสิ่งแวดล้อมจะยังไม่ชัดเท่าในยุโรป แต่ก็กำลังทวีความสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ

กลไกขับเคลื่อนสำคัญคือ รัฐบาลสิงคโปร์ที่ใช้แนวทาง Network Anchoring เชื่อมโยงเครือข่ายผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานรัฐ (A*STAR, SFA, EDB) นักลงทุน เช่น เทมาเส็ก สตาร์ทอัพด้านโปรตีนทางเลือก และบริษัทอาหารเดิม โดยตั้งศูนย์นวัตกรรมและโรงงานผลิตร่วมเพื่อให้ผู้ประกอบการเล็ก ๆ มีพื้นที่ทดลองผลิตโดยไม่ต้องลงทุนโรงงานเอง

อีกด้านหนึ่งคือ Institutional Anchoring การพัฒนากฎเกณฑ์ใหม่ เช่น กรอบการอนุมัติ “เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง” ของ SFA ที่ถือว่าก้าวหน้าที่สุดในโลก ระบบนี้เปิดทางให้ผู้ประกอบการโปรตีนทางเลือกมั่นใจมากขึ้นว่าสิงคโปร์ไม่ใช่แค่ “ที่ทดลอง” แต่เป็น “ตลาดจริง” ที่พร้อมผลักดันสินค้าใหม่

สิงคโปร์ได้กลายเป็นศูนย์รวมของผู้ประกอบการด้านโปรตีนทางเลือก เช่น Innovate 360, SGProtein, SingCell และ Esco Aster ที่ร่วมกันผลักดันโรงงานต้นแบบและการผลิตเชิงทดลอง แม้ตอนนี้ขนาดยังเล็กและต้นทุนต่อหน่วยสูง แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ต้นทุนลดลงในอนาคต

บทบาทของภาคธุรกิจอาหารเดิม อย่างบริษัทแปรรูปอาหารในสิงคโปร์ เช่น ผู้ผลิตลูกชิ้นปลา–ลูกชิ้นเนื้อ มองเห็นโอกาสในการใช้โปรตีนทางเลือกแทนวัตถุดิบที่มีต้นทุนสูงขึ้น เช่น เนื้อและอาหารทะเล แต่หลายบริษัทเลือกใช้ท่าที “รอดู” เพราะตลาดยังใหม่และราคายังสูง ตัวอย่างเช่นบริษัท Tee Yih Jia เพิ่งเปิดไลน์สินค้าแพลนต์เบสหลังจากใช้เวลาตัดสินใจหลายปี

และด้วยโครงสร้างที่แทบไม่มีฟาร์มปศุสัตว์และพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก สิงคโปร์สามารถผลักดันนโยบายด้านโปรตีนทางเลือกได้ง่ายกว่าหลายประเทศ เพราะไม่ต้องเจอกับแรงต่อต้านจากภาคเกษตรแบบดั้งเดิม เป้าหมาย “30 ภายใน 30” จึงไม่ใช่เพียงนโยบายด้านอาหาร แต่ยังเป็นกลยุทธ์ด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ ที่ทำให้สิงคโปร์ก้าวสู่การเป็น “ศูนย์กลางอาหารแห่งอนาคต” ของโลก


อ้างอิง

Crystal Pay and Alberto Gianoli. (July 2024). Securing the future: Analysing the protein transition in Singapore.

https://www.sciencedirect.com/…/pii/S0264275124002865

Scroll to Top