THAI CLIMATE JUSTICE for All

พญานาคแห่งนิเวศน์ ภูมิอากาศในฐานะผู้เขียนระเบียบโลกใหม่

1. โลกที่เริ่มหายใจแรงขึ้น

ศตวรรษนี้ โลกดูเหมือนหายใจแรงขึ้น พายุถี่ขึ้น ไฟป่าลุกเร็วกว่าที่เคย และฤดูกาลที่เคยแน่นอนเริ่มแปรปรวนราวกับธรรมชาติกำลังหงุดหงิดกับมนุษย์

แต่วิกฤตภูมิอากาศไม่ได้เป็นเพียงปัญหาทางกายภาพของโลก หากแต่เป็นการสั่นสะเทือนในระดับ “จิตวิญญาณของอารยธรรม” ที่ถามกลับมาว่า ระเบียบที่มนุษย์สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยแห่งรัฐชาติ อุตสาหกรรม โลกาภิวัตน์นั้น ยังยืนอยู่ได้หรือไม่

นักประวัติศาสตร์ Dipesh Chakrabarty ชี้ว่า มนุษยสมัย (Anthropocene) คือช่วงเวลาที่มนุษย์ได้กลายเป็นพลังทางธรณีวิทยา และโลกเริ่มตอบสนองกลับ ธรรมชาติไม่ได้เป็นเพียงฉากหลัง แต่เป็นผู้เล่นในการเมืองของโลกแล้ว

2. ภูมิอากาศกับการล่มสลายและการรอดของอารยธรรม

เมื่ออุณหภูมิของโลกเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย สมดุลของอำนาจก็เปลี่ยนตามอย่างไม่คาดคิด

▪️ ยุคบรอนซ์ เมื่อน้ำฝนหยุดตก ราว 1200 ปีก่อนคริสต์ศักราช อารยธรรมในแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกเชื่อมโยงกันด้วยการค้า แต่ภัยแล้งที่ยาวนานหลายทศวรรษทำให้เส้นทางการค้าและเมืองท่าหยุดนิ่ง ความอดอยากก่อให้เกิดการอพยพและสงคราม อาณาจักรฮิตไตต์ล่ม ขณะที่อียิปต์รอดเพราะรัฐรวมศูนย์สามารถควบคุมอาหารและน้ำไว้ได้ทัน นี่คือครั้งแรกที่ภูมิอากาศพิสูจน์ให้เห็นว่า “อำนาจในการจัดการทรัพยากร” คือเส้นแบ่งระหว่างการอยู่รอดกับการดับสูญ

▪️ โรมัน เมื่อความหนาวและโรคกลายเป็นกองทัพเงียบ ช่วงศตวรรษที่ 3–5 จักรวรรดิโรมันต้องเผชิญการเยือกแข็งยาวนานและโรคระบาดที่กวาดล้างประชากร ผลผลิตตกต่ำ ระบบภาษีล่มสลาย และศรัทธาในอำนาจรัฐหายไป โรมไม่ได้ถูกทำลายด้วยคมดาบของศัตรู หากแต่ด้วยความไม่สามารถของตนที่จะปรับตัวต่อภูมิอากาศและโรค อำนาจที่มั่นใจในตัวเองมากเกินไปมักอ่อนแรงที่สุดเมื่อโลกเปลี่ยน

▪️ มายา เมืองศักดิ์สิทธิ์ที่ฝนหยุดไหล ในอเมริกากลาง ภัยแล้งที่ยาวนานกว่าร้อยปีทำให้แม่น้ำและบ่อเก็บน้ำแห้ง การเกษตรที่เคยเลี้ยงประชากรได้กลายเป็นภาระ นครรัฐที่เคยร่วมมือกันเริ่มทำสงครามแย่งทรัพยากร เมื่อศาสนาไม่สามารถอธิบายภัยพิบัติได้ ความเชื่อก็สลายตาม เมื่อมนุษย์ตัดขาดจากวงจรน้ำ วงจรชีวิตของเมืองก็จบลง

▪️ หมิง–ชิง เมื่ออำนาจรวมศูนย์ไม่ทันต่อภูมิอากาศ ในศตวรรษที่ 17 “ยุคน้ำแข็งน้อย” ทำให้จีนเข้าสู่ภาวะขาดแคลนอาหาร กบฏกระจายทั่วแผ่นดิน ราชวงศ์หมิงที่พึ่งพาอำนาจรวมศูนย์พังทลาย แต่ราชวงศ์ชิงที่เข้ามาแทนกลับรอดเพราะเลือก “ลดอำนาจส่วนกลาง” กระจายภาษีและพัฒนาเส้นทางขนส่งใหม่ บทเรียนสำคัญของเอเชียว่าการปรับตัวและการกระจายอำนาจเป็นเกราะป้องกันที่แท้จริง

▪️ กัมพูชาโบราณ เมืองที่ใหญ่เกินจะดูแลตนเอง นครธมและนครวัดในศตวรรษที่ 14–15 เคยมีระบบคลองและอ่างเก็บน้ำยิ่งใหญ่ แต่ภัยแล้งสลับน้ำท่วมหลายครั้งทำให้ระบบชลประทานเสียหาย เมืองใหญ่เกินจะฟื้นได้ ความรุ่งเรืองทางเทคโนโลยีที่ไม่เคารพจังหวะของธรรมชาติ กลายเป็นบ่วงของตนเอง

จากยุคบรอนซ์ถึงนครวัด ภูมิอากาศได้พิสูจน์สิ่งเดียวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า อารยธรรมไม่ล่มเพราะอากาศเปลี่ยน แต่เพราะอำนาจไม่ยอมเปลี่ยนตามอากาศ

รัฐหรือสังคมที่ยืดหยุ่น มักใช้วิกฤตเป็นโอกาสสร้างระบบใหม่ที่สมดุลกว่าเดิม ขณะที่รัฐที่แข็งทื่อและมองธรรมชาติเป็นศัตรู มักถูกโลกกลืนกลับในที่สุด

3. ระเบียบโลกสมัยใหม่: ความมั่นคงที่ละลายช้า

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง มนุษย์สร้างระเบียบใหม่ที่เชื่อในความก้าวหน้าและการเติบโตไม่สิ้นสุด สถาบันโลกอย่าง IMF, WTO หรือ UNFCCC ตั้งอยู่บนแนวคิดว่า “มนุษย์สามารถบริหารโลกได้ด้วยระบบ”

แต่ในศตวรรษที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ระบบเหล่านี้กลับเริ่มไร้พลัง เพราะฐานคิดของมันตั้งอยู่บนการแยก “ธรรมชาติออกจากสังคม”

นักคิดอย่าง Jason W. Moore เรียกยุคนี้ว่า Capitalocene ยุคที่ทุนสะสมในรูปของการเผาผลาญทรัพยากรและเวลา โลกกลายเป็นโรงงานที่ร้อนขึ้นทุกปีเพื่อคงกลไกเศรษฐกิจให้เดินต่อไป

แต่ผลลัพธ์กลับตรงข้าม ความเหลื่อมล้ำลึกขึ้น ระบบหนี้สินล้นพ้นตัว และความไว้วางใจในรัฐลดต่ำลงพร้อมกับเสถียรภาพของภูมิอากาศ

โลกาภิวัตน์ที่เคยเป็นเครือข่ายแห่งโอกาส กำลังกลายเป็นเครือข่ายแห่งเปราะบาง

เมื่อพายุในประเทศหนึ่งกระทบห่วงโซ่พลังงานทั้งโลก เมื่อสงครามหรือโรคระบาดจุดไฟให้ความไม่มั่นคงทางอาหารแพร่ไปทั่ว ระบบที่เคยเรียกว่า “ระเบียบโลกเสรี” กำลังละลายเหมือนธารน้ำแข็งขั้วโลก

4. พญานาคแห่งนิเวศน์ พลังที่โลกทวงคืน

ในตำนานของลุ่มน้ำโขง พญานาคไม่ใช่สัตว์ร้าย หากเป็น “ผู้เฝ้าสายน้ำ” ที่ลุกขึ้นเมื่อโลกผิดจังหวะ

ในทางตะวันตก Wainwright และ Mann ใช้คำว่า Climate Leviathan เพื่ออธิบายการเกิดขึ้นของ “รัฐโลกแห่งภูมิอากาศ” ที่รวมศูนย์อำนาจเพื่อจัดการกับความร้อนของโลก

แต่จากสายตาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราเห็นสิ่งนั้นในอุปมาที่อ่อนโยนและซับซ้อนกว่า “พญานาคแห่งนิเวศน์” พลังของโลกที่ไม่ต้องมีรูปทรงอำนาจแต่สามารถบิดเบือนทุกระเบียบที่ไม่เคารพธรรมชาติ

พญานาคแห่งนิเวศน์คือการกลับมาของธรรมชาติในฐานะผู้กำหนดจังหวะของชีวิตอีกครั้ง

มนุษย์ที่เคยเป็นผู้วาดแผนที่โลก กำลังถูกโลกวาดแผนที่ของมนุษย์กลับ

5. จาก Earth System สู่ Earth Order

ประวัติศาสตร์บอกเราว่าอารยธรรมที่รอด คืออารยธรรมที่เรียนรู้ร่วมกับธรรมชาติ ไม่ใช่ฝืนมัน

แนวคิดของ Elinor Ostrom ว่าด้วย “การปกครองแบบยืดหยุ่น” (adaptive governance) สะท้อนว่า การจัดการทรัพยากรโดยชุมชนท้องถิ่นย่อมรับมือการเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าการรวมศูนย์

และในเชิงจิตวิญญาณ Thomas Berry เคยเขียนไว้ว่า “จักรวาลไม่ใช่การรวมของวัตถุ แต่เป็นชุมชนของชีวิต”

การฟื้นฟูระเบียบโลกหลังวิกฤตภูมิอากาศ จึงไม่ใช่การสร้าง world order ใหม่ แต่คือการตระหนักรู้ถึง earth order ระเบียบของความสัมพันธ์ที่เชื่อมชีวิตทั้งหมดเข้าด้วยกัน

ระเบียบใหม่นี้จะไม่ได้ตั้งอยู่บนกำลังทหารหรือทุน แต่บน “ความไว้วางใจระหว่างรัฐ ชุมชน ธรรมชาติ”

ประเทศที่เข้าใจเรื่องนี้ก่อน จะเป็นผู้นำระเบียบโลกใบใหม่โดยไม่ต้องครอบงำใคร

6. การคาดการณ์ระเบียบการเมืองโลกในยุคโลกร้อน

เมื่อมองผ่านบทเรียนในอดีต เราอาจเห็นภาพระเบียบโลกปัจจุบันที่กำลังสั่นคลอนออกเป็น 3 เส้นทางใหญ่

1. ระเบียบโลกแบบ Leviathan ใหม่ มหาอำนาจบางประเทศพยายามสร้าง “กลไกควบคุมโลก” ภายใต้ข้ออ้างการปกป้องภูมิอากาศ เช่น ระบบคาร์บอนเครดิตระดับโลก การควบคุมเทคโนโลยีพลังงาน หรือธนาคารภูมิอากาศโลก

ระบบนี้อาจคล้ายกับจักรวรรดิโรมันช่วงปลาย ที่รวมศูนย์อำนาจสูง แต่เปราะบางจากภายใน หากไม่สามารถกระจายผลประโยชน์และความไว้วางใจได้ทัน อาจพังด้วยภาวะทางสังคมก่อนภัยธรรมชาติ

2. ระเบียบโลกแห่งภูมิภาคและความร่วมมือท้องถิ่น อีกแนวโน้มคือการกลับสู่เครือข่ายภูมิภาคที่พึ่งพากันในระดับย่อย เช่น กลุ่ม ASEAN, กลุ่มแอฟริกา หรือเครือข่ายลาตินอเมริกา ลักษณะนี้ใกล้เคียงกับยุคหลังยุคบรอนซ์ที่เมืองเล็กๆ ใช้ความร่วมมือและการค้าแลกเปลี่ยนแทนสงคราม ระบบเช่นนี้อาจมีความยืดหยุ่นมากกว่าและอยู่รอดในโลกที่ไม่แน่นอนได้

3. ระเบียบแบบ “พญานาคแห่งนิเวศน์” นี่คือทางที่ยากแต่น่าหวังที่สุด การเมืองที่ขยับจาก “อำนาจเหนือโลก” ไปสู่ “อำนาจร่วมกับโลก”

เราจะเห็นรัฐและชุมชนจำนวนมากเริ่มฟื้นระบบสิทธิของธรรมชาติ (Rights of Nature) เช่น เอกวาดอร์ นิวซีแลนด์ หรือแม้แต่ในเอเชียที่เริ่มพูดถึงสิทธิของแม่น้ำ ป่า และสิ่งมีชีวิต

ระเบียบใหม่นี้ไม่ได้วัดด้วย GDP หรือเขตแดน แต่ด้วยความสามารถของสังคมในการรักษาสมดุลของระบบชีวิต

หากโลกศตวรรษที่ 21 ต้องเลือกระหว่าง “ระเบียบอำนาจ” กับ “ระเบียบแห่งชีวิต”

ประวัติศาสตร์อาจกำลังพาเรากลับไปสู่หลังยุคจักรวรรดิ ยุคที่มนุษย์เริ่มตระหนักว่า การอยู่รอดของตนผูกพันกับการอยู่รอดของโลก

7. ร่ายรำกับพญานาค

เมื่อมองจากระยะไกลของเวลา ทุกอารยธรรมล้วนเป็นคลื่นที่ขึ้นและลงตามจังหวะของโลก

วันนี้ คลื่นลูกใหม่กำลังมาถึง และเราอาจไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะหนีมันได้หรือไม่

สิ่งเดียวที่เลือกได้ คือจะ “ยืนต้านมันด้วยกำแพงคอนกรีต” หรือจะ “ร่ายรำไปกับมันด้วยปัญญา”

โลกไม่ได้ต้องการให้เราปราบพญานาค

แต่ให้เราฟังเสียงของมัน

เพราะเมื่อเราเข้าใจจังหวะของโลก

เราอาจค้นพบจังหวะใหม่ของมนุษยชาติ


แหล่งอ้างอิง

Berry, T. (1999). The Great Work: Our Way into the Future. Bell Tower.

Chakrabarty, D. (2012). Postcolonial studies and the challenge of climate change. New Literary History, 43(1), 1–18.

Harper, K. (2017). The Fate of Rome: Climate, Disease, and the End of an Empire. Princeton University Press.

Kennett, D. J., et al. (2012). Development and disintegration of Maya political systems in response to climate change. Science, 338(6108), 788–791.

Latour, B. (2017). Facing Gaia: Eight Lectures on the New Climatic Regime. Polity Press.

Mann, G., & Wainwright, J. (2018). Climate Leviathan: A Political Theory of Our Planetary Future. Verso.

Moore, J. W. (2016). Anthropocene or Capitalocene? Nature, History, and the Crisis of Capitalism. PM Press.

Ostrom, E. (2009). A general framework for analyzing sustainability of social-ecological systems. Science, 325(5939), 419–422.

Parker, G. (2013). Global Crisis: War, Climate Change and Catastrophe in the Seventeenth Century. Yale University Press.

Scroll to Top