
การศึกษาเกี่ยวกับภัยพิบัติในทางมานุษยวิทยาเป็นสาขาที่มีความสำคัญมากในการทำความเข้าใจผลกระทบของภัยพิบัติทางธรรมชาติและมนุษย์ต่อสังคมและวัฒนธรรม
แนวคิดและผลการศึกษาในสาขานี้สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเด็นสำคัญดังนี้
1. การรับรู้และการตีความภัยพิบัติในวัฒนธรรมต่าง ๆ
มานุษยวิทยาศึกษาว่าภัยพิบัติถูกมองและตีความอย่างไรในวัฒนธรรมต่าง ๆ เช่น ในบางวัฒนธรรม ภัยพิบัติอาจถูกมองว่าเป็นผลจากการกระทำของเทพเจ้า หรือเป็นการลงโทษจากบาป ในขณะที่บางวัฒนธรรมอาจมองว่าภัยพิบัติเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์
การจัดการความเสี่ยง การรับรู้ถึงความเสี่ยงและวิธีการจัดการกับความเสี่ยงต่างกันไปตามบริบททางวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น ชุมชนในพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติบ่อยครั้งอาจพัฒนาระบบความรู้ท้องถิ่นในการป้องกันและรับมือกับภัยพิบัติ เช่น การสร้างบ้านแบบยกพื้นสูงในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม .
2. การฟื้นฟูและการปรับตัวหลังภัยพิบัติ
มานุษยวิทยามุ่งเน้นการศึกษาวิธีที่ชุมชนฟื้นตัวหลังจากเกิดภัยพิบัติ โดยเฉพาะการฟื้นฟูโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งรวมถึงการฟื้นฟูความเชื่อทางศาสนา ประเพณี และการจัดระเบียบทางสังคม
การปรับตัว
ชุมชนมักต้องปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากภัยพิบัติในอนาคต เช่น การเปลี่ยนแปลงวิถีการทำเกษตรกรรม การปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการก่อสร้างบ้าน หรือการย้ายถิ่นฐาน มนุษยวิทยาศึกษาว่าการปรับตัวเหล่านี้มีผลต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนอย่างไร
3. การเมืองของภัยพิบัติ
อำนาจและการจัดสรรทรัพยากร ภัยพิบัติมักนำมาซึ่งความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากรและการฟื้นฟู ตัวอย่างเช่น กลุ่มคนเปราะบางหรือชนกลุ่มน้อยมักได้รับความช่วยเหลือน้อยกว่ากลุ่มอื่น ๆ ซึ่งแสดงถึงการใช้และการกระจายอำนาจในการจัดการภัยพิบัติ
การใช้ภัยพิบัติในเชิงการเมือง ในบางกรณี ภัยพิบัติถูกใช้เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมอำนาจทางการเมืองหรือสนับสนุนนโยบายบางประการ เช่น การใช้เหตุการณ์ภัยพิบัติในการสร้างความชอบธรรมให้กับการย้ายถิ่นฐาน หรือการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ที่ดิน
4. ภูมิทัศน์ของภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม
มานุษยวิทยาศึกษาว่าการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือการพัฒนาพื้นที่เมือง มีผลต่อความถี่และความรุนแรงของภัยพิบัติอย่างไร
ภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม การศึกษาเกี่ยวกับวิธีที่ชุมชนปรับภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมเพื่อป้องกันภัยพิบัติ เช่น การสร้างเขื่อนหรือการปลูกป่าเพื่อป้องกันการกัดเซาะของดิน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีผลต่อวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชนอย่างไร
5. ประสบการณ์และการสื่อสารเกี่ยวกับภัยพิบัติ
ประสบการณ์ส่วนบุคคลและกลุ่ม มานุษยวิทยาให้ความสำคัญกับประสบการณ์ส่วนบุคคลและกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติ การศึกษาเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจความทรงจำและการสร้างความหมายเกี่ยวกับภัยพิบัติในระดับบุคคลและชุมชน
การสื่อสารและการเล่าเรื่อง
วิธีการที่ภัยพิบัติถูกเล่าและสื่อสารเป็นอีกประเด็นสำคัญ เช่น การใช้สื่อมวลชนในการนำเสนอภาพลักษณ์ของภัยพิบัติ หรือการใช้เรื่องเล่าในวัฒนธรรมท้องถิ่นในการสื่อสารถึงประวัติศาสตร์ของภัยพิบัติ
อ้างอิง
Oliver-Smith, Anthony. “Theorizing Vulnerability in a Globalized World: A Political Ecology Perspective.” Vulnerability in Disaster Theory and Practice. Oxford University Press, 2006.
Hoffman, Susanna M., and Anthony Oliver-Smith. Catastrophe & Culture: The Anthropology of Disaster. School of American Research Press, 2002.
Bankoff, Greg, Georg Frerks, and Dorothea Hilhorst, eds. Mapping Vulnerability: Disasters, Development, and People. Earthscan, 2004.
Wisner, Ben, Piers Blaikie, Terry Cannon, and Ian Davis. At Risk: Natural Hazards, People’s Vulnerability and Disasters. Routledge, 2003.
Tierney, Kathleen. “The Social Roots of Risk: Producing Disasters, Promoting Resilience.” Stanford University Press, 2014.
Pelling, Mark, and Kathleen Dill. “Disaster Politics: Tipping Points for Change in the Adaptation of Socio-political Regimes.” Progress in Human Geography 34, no. 1 (2010): 21-37.
7. Escobar, Arturo. Territories of Difference: Place, Movements, Life, Redes. Duke University Press, 2008.
8. Zimmerer, Karl S., and Thomas J. Bassett, eds. Political Ecology: An Integrative Approach to Geography and Environment-Development Studies. Guilford Press, 2003.
9. Eyre, Anne. “Remembering: Community Commemoration after Disaster.” The Australasian Journal of Disaster and Trauma Studies 2007-2 (2007): 1-12.
10. Button, Gregory. Disaster Culture: Knowledge and Uncertainty in the Wake of Human and Environmental Catastrophe. Left Coast Press, 2010