THAI CLIMATE JUSTICE for All

เสวนาออนไลน์ในหัวข้อ “โลกรวนน้ำท่วมเชียงราย ฟังเสียงประชาชนต่อปัญหาและทางออก”

ชาวบ้านเชียงรายร้องเรียน: น้ำท่วมใหญ่สะท้อนวิกฤตโลกร้อน–เขื่อนปากแบงอาจซ้ำเติม รัฐต้องฟังเสียงประชาชน ร่วมแก้ไขอย่างยั่งยืน

เสวนาออนไลน์เจาะปัญหา: น้ำท่วมเชียงรายเป็นผลจากภาวะโลกร้อน การจัดการทรัพยากรที่ผิดพลาด และการขาดการวางแผนร่วมกันระหว่างรัฐและประชาชน การก่อสร้างเขื่อนปากแบงในแม่น้ำโขงอาจส่งผลให้น้ำท่วมรุนแรงขึ้น เครือข่าย Thai Climate Justice for All เรียกร้องให้ภาครัฐเร่งแก้ไขและสร้างความร่วมมืออย่างยั่งยืน

วันที่ 16 กันยายน 2567 Thai Climate Justice for All ร่วมกับสมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ จัดเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ “โลกรวนน้ำท่วมเชียงราย ฟังเสียงประชาชนต่อปัญหาและทางออก” เพื่อระดมความเห็นจากประชาชนผู้ประสบภัยเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดน่านและเชียงราย

บทสรุปจากเสวนา: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง ผังเมืองและการใช้ที่ดินที่ไม่เหมาะสม รวมถึงการเตรียมการรับมือภัยพิบัติที่ขาดประสิทธิภาพ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่เชียงราย ผู้เชี่ยวชาญและชาวบ้านต่างเห็นพ้องถึงความจำเป็นในการพัฒนาเทคโนโลยีเตือนภัยและการสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐกับประชาชนเพื่อจัดการทรัพยากรธรรมชาติและวางแผนการรับมือภัยพิบัติในอนาคต

คุณกฤษฎา บุญชัย ผู้ประสานงาน Thai Climate Justice for All เน้นว่า “การลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคพลังงานและการเพิ่มความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติที่เกิดจากโลกร้อนนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เราต้องมีมาตรการรับมือที่ชัดเจนและรอบคอบเพื่อป้องกันวิกฤตในอนาคต”

เสียงจากพื้นที่:

คุณจุฑามาศ ราชประสิทธิ์ กรรมการสมัชชาฯ ชี้แจงว่า “ชาวบ้านหลายพันคนในเชียงรายได้รับผลกระทบรุนแรง บางคนไม่สามารถอพยพออกจากพื้นที่ได้ทันเพราะน้ำท่วมมาเร็วมาก ขณะนี้เราต้องการระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพและการวางแผนการจัดการน้ำอย่างเร่งด่วน”

คุณปิยนันท์ จิตต์แจ้ง สื่อมวลชนท้องถิ่น ย้ำว่า “ระบบเตือนภัยที่มีอยู่ไม่เพียงพอ มวลน้ำมาเร็วเกินกว่าที่ชาวบ้านจะเตรียมตัวได้ทัน ต้องมีการปรับปรุงระบบเตือนภัยให้ดียิ่งขึ้นและใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน”

คุณสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา รองประธานสมัชชาฯ กล่าวว่า “สถานการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่รัฐต้องนำไปพิจารณาเพื่อวางแผนการจัดการน้ำให้ครอบคลุมและเหมาะสม รวมถึงการทำงานร่วมกับชุมชนอย่างใกล้ชิด”

คุณมนตรี จันทวงศ์ จากกลุ่มเสรีภาพแม่น้ำโขง กล่าวเสริมว่า “การเตือนภัยในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมพอ และมีปัญหาหลายด้าน โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์รุนแรงที่ระบบเดิมใช้การไม่ได้ นอกจากนี้ การก่อสร้างเขื่อนปากแบงในแม่น้ำโขงอาจส่งผลให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น 1-2 เมตร ซึ่งจะทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ตามแนวแม่น้ำโขงอย่างแน่นอน เราจำเป็นต้องสร้างระบบข้อมูลเตือนภัยอัตโนมัติที่เชื่อมโยงกับชุมชนในระดับท้องถิ่น รวมถึงทบทวนการสร้างเขื่อนที่อาจมีผลกระทบในอนาคต”

ข้อเสนอแนะ: ผู้เข้าร่วมเสวนาเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้เทคโนโลยีล่าสุดในการสร้างระบบข้อมูลเตือนภัยที่แม่นยำและทันท่วงที การฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และการทบทวนแผนจัดการน้ำของรัฐเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ยังเสนอให้มีการร่วมมือระหว่างรัฐกับประชาชนในการวางแผนการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน

สรุปปิดท้าย: การเสวนาออนไลน์ในครั้งนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการวางแผนร่วมกันระหว่างรัฐและประชาชน พร้อมกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการและเตือนภัย การปรับตัวและการสร้างความร่วมมืออย่างยั่งยืนจะเป็นกุญแจสำคัญในการลดผลกระทบจากวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

Scroll to Top