
บทนำ: แนวคิดความยุติธรรมทางภูมิอากาศในโลกยุคปัจจุบัน
ความยุติธรรมทางภูมิอากาศ (Climate Justice) เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นความเชื่อมโยงระหว่างวิกฤตภูมิอากาศกับความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคม โดยชี้ให้เห็นว่า กลุ่มที่เปราะบางที่สุดมักเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด แม้ว่าพวกเขาจะมีส่วนในการสร้างปัญหาน้อยที่สุด เช่น ชุมชนชนพื้นเมือง กลุ่มรายได้น้อย ผู้หญิง และชนกลุ่มน้อย
การศึกษาล่าสุด (Ogunbode et al., 2024) ได้สำรวจกลุ่มตัวอย่างจาก 11 ประเทศทั่วโลก รวม 5,627 คน เพื่อทำความเข้าใจความตระหนักรู้ ความเชื่อ และความเชื่อมโยงของแนวคิดนี้กับการดำเนินการด้านภูมิอากาศและการสนับสนุนนโยบายที่ยั่งยืน
ความตระหนักรู้เกี่ยวกับความยุติธรรมทางภูมิอากาศ
การสำรวจพบว่า สองในสาม (66.2%) ของผู้เข้าร่วมไม่เคยได้ยินคำว่า “ความยุติธรรมทางภูมิอากาศ” มาก่อนเข้าร่วมการศึกษา แต่ยังคงมีการสนับสนุนแนวคิดที่เกี่ยวข้องอยู่ในระดับที่น่าสนใจ
ความแตกต่างระหว่างประเทศ
- ระดับการรับรู้สูง: อินเดีย (56.5%) และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (54.2%) มีอัตราการรับรู้เกี่ยวกับแนวคิดนี้สูงสุด
- ระดับการรับรู้ต่ำ: ญี่ปุ่น (13.8%) และเยอรมนี (20.3%) แสดงให้เห็นการรับรู้ที่ต่ำที่สุด
กลุ่มที่มีแนวโน้มรับรู้สูง
- อายุ: กลุ่มคนรุ่นใหม่ (18-34 ปี) มีแนวโน้มรับรู้แนวคิดนี้มากที่สุด
- การศึกษา: ผู้ที่มีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยขึ้นไปแสดงความตระหนักรู้และสนับสนุนแนวคิดนี้ในระดับที่สูงกว่า
แนวคิดสำคัญ 9 ประการในความเชื่อเรื่องความยุติธรรมทางภูมิอากาศ
ความเชื่อเกี่ยวกับความยุติธรรมทางภูมิอากาศถูกวัดผ่าน ดัชนีความเชื่อเรื่องความยุติธรรมทางภูมิอากาศ (Climate Justice Beliefs Index – CJBI) ซึ่งประกอบด้วย 9 แนวคิดหลัก ดังนี้:
1. ผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย:
คนจนได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรงมากกว่ากลุ่มอื่น (Ford et al., 2018)
2. ผลกระทบต่อผู้ที่ไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหา:
ผู้ที่มีส่วนในการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศน้อยที่สุดกลับต้องเผชิญผลกระทบที่รุนแรงที่สุด (Islam & Winkel, 2017)
3. ผลกระทบต่อผู้หญิง:
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย (Sultana, 2022)
4. การขยายความไม่เท่าเทียม:
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้การกดขี่และความไม่เท่าเทียมที่มีอยู่เดิมรุนแรงขึ้น (Newell, 2022)
5. ผลกระทบต่อชนพื้นเมืองและชนกลุ่มน้อย:
ชนพื้นเมืองและชนกลุ่มน้อยได้รับผลกระทบรุนแรงกว่า เช่น คนผิวดำ ชาวเอเชีย และชาวตะวันออกกลาง (Gilio-Whitaker, 2019)
6. การกระจายทรัพยากร:
การแก้ปัญหาวิกฤตภูมิอากาศจำเป็นต้องกระจายทรัพยากรจากคนรวยไปสู่คนจน (Islam & Winkel, 2017)
7. การเพิ่มบทบาทของชุมชนแนวหน้า:
คนจากชุมชนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดควรมีบทบาทในการตัดสินใจด้านภูมิอากาศมากขึ้น (Schlosberg & Collins, 2014)
8. บทบาทของระบบทุนนิยม:
ระบบทุนนิยมที่แสวงหากำไรโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเป็นต้นเหตุสำคัญของวิกฤตภูมิอากาศ (Newell, 2022)
9. ผลกระทบจากลัทธิอาณานิคม:
การล่าอาณานิคมในอดีตและการแสวงหาทรัพยากรอย่างไม่เป็นธรรมมีบทบาทสำคัญในการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Sultana, 2022)
ความเชื่อเกี่ยวกับความยุติธรรมทางภูมิอากาศกับการดำเนินการและนโยบาย
ความเชื่อเกี่ยวกับความยุติธรรมทางภูมิอากาศแสดงความสัมพันธ์เชิงบวกกับการดำเนินการด้านภูมิอากาศและการสนับสนุนนโยบายต่าง ๆ ดังนี้:
1. การเข้าร่วมกิจกรรมด้านภูมิอากาศ
ผู้ที่เชื่อในความยุติธรรมทางภูมิอากาศมีแนวโน้มเข้าร่วมกิจกรรม เช่น การประท้วง บริจาคเงิน และสมัครเป็นอาสาสมัครเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศ (Kleres & Wettergren, 2017)
2. การแสดงจุดยืนผ่านสื่อออนไลน์
การแสดงจุดยืนบนโซเชียลมีเดีย เช่น การลงนามคำร้องออนไลน์และการสนับสนุนผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับความเชื่อในแนวคิดนี้ โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย (Boulianne et al., 2020)
3. พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน เช่น การประหยัดพลังงาน การเดินทางแบบลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการลดขยะอาหาร สอดคล้องกับความเชื่อเรื่องความยุติธรรมทางภูมิอากาศ (Milfont et al., 2013)
4. การสนับสนุนนโยบายด้านภูมิอากาศ
การสนับสนุนนโยบายที่รุนแรงแต่จำเป็น เช่น การเพิ่มภาษีเชื้อเพลิงฟอสซิล การห้ามผลิตรถยนต์ใช้น้ำมัน และการเก็บภาษีผู้เดินทางบ่อย มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความเชื่อในแนวคิดนี้ (Pearson et al., 2021)
ข้อเสนอแนะในการสื่อสารและดำเนินการ
1. การรณรงค์สร้างความตระหนักรู้:
ควรเน้นการสื่อสารถึงความเชื่อมโยงระหว่างผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับความไม่เท่าเทียมทางสังคม เช่น การแสดงผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบาง (Framing Climate Justice, 2020)
2. การสื่อสารที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย:
การใช้โซเชียลมีเดีย เช่น Facebook และ Twitter หรือการพูดคุยในกลุ่มครอบครัวและเพื่อนฝูง สามารถเพิ่มความตระหนักรู้และการสนับสนุนในแนวคิดนี้ (Goldberg et al., 2019)
3. การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในระดับนโยบาย:
การดึงชุมชนที่ได้รับผลกระทบเข้ามามีบทบาทในการกำหนดนโยบายจะช่วยขยายการสนับสนุนและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมโดยรวม (Chu & Michael, 2018)
บทสรุป: การสร้างโลกที่ยุติธรรมและยั่งยืนผ่านความเชื่อเรื่องความยุติธรรมทางภูมิอากาศ
แม้ว่าการตระหนักรู้เกี่ยวกับแนวคิดนี้ยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมที่เกี่ยว
ข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางทั่วโลก การสื่อสารและนโยบายที่เน้นความยุติธรรมจะช่วยสร้างแรงขับเคลื่อนใหม่สำหรับการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศในระดับท้องถิ่นและระดับโลก โดยเฉพาะในประเทศที่ยังมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมสูง
ข้อจำกัดของการศึกษาและแนวทางสำหรับการวิจัยในอนาคต
ข้อจำกัดของการศึกษา
1. การเข้าถึงกลุ่มตัวอย่าง: การศึกษานี้ใช้กลุ่มตัวอย่างที่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ทำให้กลุ่มที่ขาดการเข้าถึงเทคโนโลยีหรือกลุ่มที่เปราะบางที่สุดอาจไม่ได้รับการสะท้อนในข้อมูล
2. ความหลากหลายทางภูมิศาสตร์: แม้ว่าการศึกษาจะครอบคลุม 11 ประเทศ แต่การตีความแนวคิดความยุติธรรมทางภูมิอากาศอาจแตกต่างกันในแต่ละบริบทท้องถิ่น
3. การออกแบบการศึกษา: เนื่องจากการศึกษาใช้การสำรวจแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional survey) จึงไม่สามารถสรุปเหตุและผลของความเชื่อและการกระทำได้
แนวทางการวิจัยในอนาคต
- การสำรวจกลุ่มที่เปราะบาง: ควรเพิ่มความพยายามในการเข้าถึงกลุ่มที่มีความเปราะบางสูง เช่น ชนพื้นเมืองหรือประชากรในชนบท
- การศึกษาระยะยาว: การวิจัยในอนาคตควรใช้การศึกษาระยะยาว (Longitudinal studies) เพื่อวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงของความเชื่อและพฤติกรรมเมื่อเวลาผ่านไป
- การวิเคราะห์เชิงลึกในระดับท้องถิ่น: ควรศึกษาบริบทเฉพาะของแต่ละภูมิภาคเพื่อระบุปัจจัยที่มีผลต่อความเชื่อและการกระทำของประชาชน
แนวโน้มและโอกาสในอนาคต
การส่งเสริมความเข้าใจเรื่องความยุติธรรมทางภูมิอากาศ:
จากผลการศึกษา แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการใช้แนวคิดความยุติธรรมทางภูมิอากาศเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับประชาชนทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งมีประวัติศาสตร์ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง การสื่อสารในอนาคตควรมุ่งเน้นการเชื่อมโยงระหว่างการดำเนินการด้านภูมิอากาศกับความรับผิดชอบในระดับโลก
การสนับสนุนนโยบายที่ยั่งยืน:
ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าแนวคิดความยุติธรรมทางภูมิอากาศสามารถใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับนโยบายที่มุ่งเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคในระดับบุคคลและองค์กร เช่น การเก็บภาษีคาร์บอน การเลิกใช้พลังงานฟอสซิล และการส่งเสริมการเดินทางแบบยั่งยืน
การรวมเสียงของชุมชนแนวหน้า:
ชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น ชนพื้นเมืองและชนกลุ่มน้อย ควรได้รับบทบาทที่สำคัญในกระบวนการกำหนดนโยบาย เพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์ของนโยบายจะตอบสนองความต้องการของทุกกลุ่ม
รายการอ้างอิงทั้งหมด
1. Ogunbode, C. A., et al. (2024). Climate justice beliefs related to climate action and policy support around the world. Nature Climate Change, 14, 1144–1150. https://doi.org/10.1038/s41558-024-02168-y
2. Ford, J. D., et al. (2018). Preparing for the health impacts of climate change in Indigenous communities: the role of community-based adaptation. Global Environmental Change, 49, 129–139.
3. Sultana, F. (2022). Critical climate justice. The Geographical Journal, 188(2), 118–124.
4. Newell, P. (2022). Climate justice. Journal of Peasant Studies, 49(4), 915–923.
5. Gilio-Whitaker, D. (2019). As Long as Grass Grows: The Indigenous Fight for Environmental Justice, from Colonization to Standing Rock. Beacon Press.
6. Milfont, T. L., et al. (2013). Environmental consequences of the desire to dominate and be superior. Personality and Social Psychology Bulletin, 39(9), 1127–1138.
7. Boulianne, S., et al. (2020). “School Strike 4 Climate”: Social media and the international youth protest on climate change. Media and Communication, 8(2), 208–218.
8. Pearson, A. R., et al. (2021). Ethics, morality and the psychology of climate justice. Current Opinion in Psychology, 42, 36–42.
9. Schlosberg, D., & Collins, L. B. (2014). From environmental to climate justice: climate change and the discourse of environmental justice. WIREs Climate Change, 5(3), 359–374.
10. Islam, S. N., & Winkel, J. (2017). Climate change and social inequality. United Nations Department of Economic and Social Affairs (DESA) Working Paper No. 152.
11. Kleres, J., & Wettergren, Å. (2017). Fear, hope, anger and guilt in climate activism. Social Movement Studies, 16(5), 507–519.
12. Sultana, F. (2022). The unbearable heaviness of climate coloniality. Political Geography, 99, 102638.
13. Framing Climate Justice (2020). How people in the UK think about climate justice. Climate Outreach. Retrieved from https://docs.google.com/…/1qSGSzp…/edit
14. Boulianne, S., & Ohme, J. (2022). Pathways to environmental activism in four countries: social media, environmental concern and political efficacy. Journal of Youth Studies, 25(5), 771–792.
15. Chu, E., & Michael, K. (2018). Recognition in urban climate justice: marginality and exclusion of migrants in Indian cities. Environment and Urbanization, 31(1), 139–156.
16. Goldberg, M. H., van der Linden, S., Maibach, E., & Leiserowitz, A. (2019). Discussing global warming leads to greater acceptance of climate science. Proceedings of the National Academy of Sciences, 116(30), 14804–14805.
17. Newell, P. (2022). Climate justice. Journal of Peasant Studies, 49(4), 915–923.
18. Milfont, T. L., Richter, I., Sibley, C. G., Wilson, M. S., & Fischer, R. (2013). Environmental consequences of the desire to dominate and be superior. Personality and Social Psychology Bulletin, 39(9), 1127–1138
Credit : Climate justice beliefs related to climate action and policy support around the world