
โครงการวิจัยเสนอแนะความยุติธรรมสภาพภูมิอากาศ
ต่อร่าง พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการรับมือกับความท้าทายจากวิกฤตโลกร้อน โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจและสังคมแบบคาร์บอนต่ำ การเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัว และการสร้างภูมิคุ้มกันต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวยังเผชิญกับคำถามสำคัญในหลายประเด็นที่ควรพิจารณาเพื่อให้กฎหมายนี้ตอบโจทย์ปัญหาได้อย่างครอบคลุมและเป็นธรรมมากขึ้น
วัตถุประสงค์ที่เน้นเศรษฐกิจมากกว่าความเป็นธรรม
ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้มุ่งเน้นผลประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อย่างไรก็ตาม การเน้นย้ำเฉพาะการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ อาจละเลยมิติทางสังคมและความเป็นธรรมที่มีผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มเปราะบาง เช่น ชุมชนที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ หรือแรงงานที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม หากไม่มีมาตรการเสริมสร้างศักยภาพและความพร้อมสำหรับคนกลุ่มนี้ ร่างกฎหมายอาจก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมในอนาคต
การรับรองสิทธิของบุคคลและชุมชนยังไม่เพียงพอ
แม้ว่าร่าง พ.ร.บ. จะระบุสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลและการมีส่วนร่วม แต่กลับไม่ครอบคลุมสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี (Right to Healthy Environment) และสิทธิความยุติธรรมทางสภาพภูมิอากาศ (Climate Justice) ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ การรับรองสิทธิเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยสร้างความตระหนักและความเป็นธรรมในการออกแบบมาตรการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก: ช้ากว่าแนวทางโลก
เป้าหมายของประเทศไทยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2065 นั้นล่าช้ากว่าคำเรียกร้องของสหประชาชาติที่กำหนดให้ลดการปล่อยก๊าซ 43% ภายในปี 2030 เพื่อจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5°C การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและรวดเร็วมากขึ้นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ประเทศไทยมีบทบาทในเวทีโลก และลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ทันการณ์
คณะกรรมการที่ขาดตัวแทนภาคประชาชน
โครงสร้างคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติส่วนใหญ่ยังมาจากภาครัฐและภาคธุรกิจ ขณะที่ตัวแทนภาคประชาชนมีเพียง 1 คน ซึ่งไม่เพียงพอที่จะสะท้อนความต้องการของชุมชน การเพิ่มตัวแทนภาคประชาสังคมและชุมชนจะช่วยให้การตัดสินใจมีความหลากหลายและเป็นธรรมมากขึ้น
ระบบตลาดคาร์บอนและความเสี่ยงต่อการฟอกเขียว
กลไกตลาดคาร์บอน เช่น การซื้อขายคาร์บอนเครดิตและระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) ถูกตั้งคำถามว่ามีประสิทธิภาพในการลดการปล่อยก๊าซจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการ “ฟอกเขียว” (Greenwashing) เพื่อให้บริษัทใหญ่สามารถดำเนินธุรกิจได้โดยไม่ต้องลดการปล่อยก๊าซอย่างแท้จริง การออกแบบกลไกนอกเหนือกลไกตลาด และมีกลไกคุ้มครองป้องกันผลกระทบ และสิทธิชุมชนและการจัดการทรัพยากรที่ยั่งยืนจะช่วยลดปัญหานี้
ข้อเสนอเพื่อพัฒนาร่าง พ.ร.บ.
- เพิ่มการรับรองสิทธิที่ครอบคลุม: รับรองสิทธิความยุติธรรมทางสภาพภูมิอากาศและสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อสร้างกรอบที่เป็นธรรมสำหรับทุกภาคส่วน
- เร่งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก: ปรับเป้าหมายให้สอดคล้องกับแนวทางสากล เช่น ลดการปล่อยก๊าซ 43% ภายในปี 2030
- ปรับโครงสร้างคณะกรรมการ: เพิ่มตัวแทนจากภาคประชาสังคมและชุมชน เพื่อให้การกำหนดนโยบายมีความครอบคลุม
- ใช้กลไกลดก๊าซที่ไม่ใช่กลไกตลาดที่มีระบบธรรมาภิบาล โปร่งใส มีความรับผิดชอบ และมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างทั่วถึง ป้องกันการฟอกเขียว และไม่ละเมิดสิทธิชุมชนและประชาชน
- เสริมสร้างศักยภาพกลุ่มเปราะบาง: จัดทำแผนช่วยเหลือและสนับสนุนชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน: เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบและติดตามนโยบาย
บทสรุป
ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการรับมือกับความท้าทายของวิกฤตโลกร้อน อย่างไรก็ตาม การพัฒนากฎหมายที่ครอบคลุมและเป็นธรรมต้องอาศัยการปรับปรุงในหลายด้าน โดยเฉพาะการคำนึงถึงสิทธิและความต้องการของประชาชนทุกกลุ่ม หากสามารถดำเนินการดังกล่าวได้สำเร็จ กฎหมายนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเป็นธรรมสำหรับประเทศไทย