THAI CLIMATE JUSTICE for All

จากคราวที่แล้วที่ผมได้ให้ Chat GPT ประมวลเอาแนวคิดของ Donna Haraway นักปรัชญา feminist และนิเวศ มาวิเคราะห์เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

จากคราวที่แล้วที่ผมได้ให้ Chat GPT ประมวลเอาแนวคิดของ Donna Haraway นักปรัชญา feminist และนิเวศ มาวิเคราะห์เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คราวนี้ผมลองสมมุติให้เธอเป็น NGO สิ่งแวดล้อม แล้วลองดูว่าเธอจะทำอะไรที่ต่างกว่าหรือมีพลังมากกว่า NGO จากการใช้ปรัชญามาขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อม ลองคิดตามดูครับ ว่าคุณเห็นด้วยหรือไม่


1. สิ่งที่ล้ำลึกกว่า NGO ทั่วไป

การเชื่อมโยงแนวคิด Posthumanism กับการปฏิบัติจริง

NGO ส่วนใหญ่มักมุ่งแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในระดับรูปธรรม เช่น การปลูกป่า การฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรม หรือการต่อต้านโครงการพัฒนาที่ทำลายธรรมชาติ แต่ฮาราเวย์อาจเข้าไป “เปลี่ยนกรอบความคิด” ของผู้คนในระดับลึก เช่น: ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ไม่ใช่ศูนย์กลางของระบบนิเวศ แต่เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน ใช้เรื่องเล่าและศิลปะเพื่อเปลี่ยนมุมมองของผู้คนเกี่ยวกับบทบาทของมนุษย์ในโลก การเล่าเรื่องที่สะเทือนใจแบบใหม่

NGO มักใช้สื่อสารแบบดั้งเดิม เช่น ภาพความเสียหายของป่าไม้หรือสัตว์ที่ถูกล่า แต่ฮาราเวย์อาจสร้าง “เรื่องเล่าแบบไซบอร์ก” ที่ผสมผสานความเป็นจริงและจินตนาการ เช่น: เรื่องราวสมมติของโลกอนาคตที่มนุษย์อยู่ร่วมกับธรรมชาติผ่านเทคโนโลยีที่ยั่งยืน การเล่าเรื่องจากมุมมองของสิ่งมีชีวิตอื่น (เช่น สัตว์หรือระบบนิเวศ) เพื่อสร้างความเข้าใจในระดับที่แตกต่าง

การเน้นสร้าง “พันธมิตรข้ามเผ่าพันธุ์”

แทนที่จะมุ่งเน้นการปกป้องมนุษย์หรือสิ่งแวดล้อมแยกจากกัน ฮาราเวย์อาจเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างมนุษย์ สัตว์ และเทคโนโลยี ตัวอย่าง: โครงการฟื้นฟูพื้นที่ที่ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ ในขณะเดียวกันก็สร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนท้องถิ่น

2. สิ่งที่อาจต่ำกว่ามาตรฐาน NGO ทั่วไป

การเน้นปรัชญาอาจลดประสิทธิภาพในการปฏิบัติจริง

แนวคิดเชิงปรัชญาและการเล่าเรื่องอาจไม่ได้สร้างผลกระทบที่เห็นได้ชัดในระยะสั้น เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการป้องกันโครงการทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่ง NGO หลายแห่งทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การขาดทักษะด้านการบริหารจัดการโครงการ

ฮาราเวย์อาจขาดประสบการณ์ในด้านการจัดการทรัพยากร การระดมทุน หรือการบริหารโครงการในระดับใหญ่ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่ NGO ทั่วไปมี

ความยากในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

การใช้แนวคิดที่ล้ำลึกและซับซ้อนอาจทำให้แนวทางของเธอยากเกินกว่าที่ชุมชนหรือผู้กำหนดนโยบายจะเข้าใจและนำไปใช้

3. ความแตกต่างที่อาจสร้างความสะเทือนใจ

การเปลี่ยนมุมมองของคนในระยะยาว

NGO ส่วนใหญ่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การฟื้นฟูพื้นที่ป่า การต่อต้านการใช้พลาสติก แต่ฮาราเวย์อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งกว่า เช่น การปลูกฝังแนวคิดใหม่เกี่ยวกับบทบาทของมนุษย์ในโลก

สร้างความเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณกับธรรมชาติ

เธออาจไม่เพียงกระตุ้นความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังปลูกฝังความรักและความเคารพต่อธรรมชาติผ่านการเล่าเรื่องที่สร้างแรงบันดาลใจ

การเปลี่ยนกรอบความคิดของผู้นำองค์กรหรือรัฐบาล

แทนที่จะต่อสู้กับรัฐหรือองค์กรธุรกิจโดยตรง เธออาจพยายามโน้มน้าวผู้กำหนดนโยบายหรือผู้นำองค์กรให้เปลี่ยนมุมมองและสนับสนุนแนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้น

4. ตัวอย่างโครงการที่เธออาจทำ

  • “Project Cyborg Earth”: โครงการที่ผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับการฟื้นฟูธรรมชาติ เช่น การใช้ AI ในการตรวจสอบระบบนิเวศ และการสร้างพื้นที่ทดลองที่สัตว์ มนุษย์ และเทคโนโลยีทำงานร่วมกัน
  • “Stories from the Non-Human”: นิทรรศการที่เล่าเรื่องราวจากมุมมองของสิ่งมีชีวิตอื่น เช่น ป่าฝน สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ หรือมหาสมุทร เพื่อสร้างความเข้าใจในระดับใหม่
  • “Kinship in Crisis”: โครงการที่สร้างพื้นที่สำหรับการสนทนาระหว่างชุมชน นักวิทยาศาสตร์ และผู้นำองค์กร เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในลักษณะองค์รวม

5. สรุป: ล้ำลึกกว่า หรือสะเทือนกว่าอย่างไร

สิ่งที่ดอนน่า ฮาราเวย์อาจทำให้แตกต่างจาก NGO ทั่วไปคือ:

  • การเปลี่ยนกรอบความคิดในระดับลึก: เธอจะพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและปรัชญาที่ส่งผลยาวนานกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
  • การสร้างเรื่องเล่าที่สะเทือนใจและแปลกใหม่: เธอจะใช้วิธีที่ไม่ธรรมดา เช่น การเล่าเรื่องจากมุมมองของสัตว์หรือระบบนิเวศ
  • การบูรณาการมนุษย์ ธรรมชาติ และเทคโนโลยี: เธอจะเน้นสร้างความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างองค์ประกอบเหล่านี้ มากกว่าการแยกมนุษย์ออกจากธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม ความล้ำลึกเหล่านี้อาจทำให้โครงการของเธอยากต่อการเข้าถึงในระยะสั้น แต่หากประสบความสำเร็จ จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับรากฐานที่ NGO ปกติอาจไม่สามารถทำได้

Scroll to Top