
การประชุม Conference of Parties (COP) ในประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในความพยายามระดับโลกที่สำคัญที่สุดในปัจจุบัน แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าล่าช้าหรือไม่เพียงพอ การวิเคราะห์การประชุม COP ผ่านมุมมองของทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศช่วยเปิดมุมมองที่หลากหลาย โดยสะท้อนถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของแนวคิดต่าง ๆ รวมถึงชี้ให้เห็นแนวทางที่อาจสร้างความร่วมมือและความเป็นธรรมได้อย่างแท้จริง
แก่นของสัจนิยม: ผลประโยชน์ของรัฐและการเมืองเชิงอำนาจ
สัจนิยมมองว่ารัฐเป็นผู้แสดงหลักในระบบโลก และพฤติกรรมของรัฐถูกขับเคลื่อนโดยการปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การที่ประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐอเมริกา และจีน มักใช้ COP เป็นพื้นที่ในการปกป้องอุตสาหกรรมฟอสซิลหรือสร้างข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจ เช่น การสนับสนุนตลาดคาร์บอน (Bäckstrand et al., 2017) แม้ตลาดนี้อาจไม่ได้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาพรวม
ในขณะที่สัจนิยมอธิบายได้ว่าทำไมบางประเทศถึงให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ระยะสั้น แต่แนวคิดนี้ถูกวิจารณ์ว่าไม่สามารถสร้างความร่วมมือข้ามพรมแดนได้อย่างแท้จริง เสรีนิยมชี้ว่า การมองโลกผ่านแว่นตาของสัจนิยมอาจทำให้ประเทศต่าง ๆ แข่งขันกันแทนที่จะร่วมมือกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับธรรมชาติของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ต้องการการแก้ไขในระดับโลก (Keohane & Victor, 2016)
เสรีนิยมกับศักยภาพของความร่วมมือระหว่างประเทศ
เสรีนิยมเสนอว่าความร่วมมือผ่านสถาบันและกลไกพหุภาคี เช่น Paris Agreement เป็นกุญแจสำคัญในการจัดการปัญหาที่เกินขอบเขตของรัฐ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการตั้งกองทุน Green Climate Fund เพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการปรับตัวต่อผลกระทบทางสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC, 2023) อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้มักถูกสัจนิยมตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ในโลกที่รัฐยังคงให้ความสำคัญกับอำนาจและอธิปไตยเหนือผลประโยชน์ร่วม
โครงสร้างนิยมเสริมว่า แม้เสรีนิยมจะสร้างกรอบความร่วมมือที่น่าสนใจ แต่การทำให้กรอบดังกล่าวมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานทางสังคม เช่น การยอมรับแนวคิด “ความยุติธรรมทางสภาพภูมิอากาศ” ที่ช่วยให้ประเทศพัฒนาแล้วตระหนักถึงความรับผิดชอบในฐานะผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลัก (Okereke, 2010)
โครงสร้างนิยม: การสร้างบรรทัดฐานและอัตลักษณ์ใหม่
โครงสร้างนิยมมองว่า การเปลี่ยนแปลงในเวที COP เกิดจากการสร้างบรรทัดฐานและอัตลักษณ์ใหม่ในระดับโลก เช่น การยอมรับเป้าหมาย Net Zero หรือการผลักดันแนวคิด Loss and Damage โดยประเทศกำลังพัฒนา โครงสร้างนิยมชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของรัฐไม่เพียงขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ยังขึ้นอยู่กับแรงกดดันทางสังคมและการเมืองระหว่างประเทศ (Finnemore & Sikkink, 1998)
ตัวอย่างหนึ่งคือ การที่เยาวชนทั่วโลก เช่น Greta Thunberg กดดันให้ผู้นำในเวที COP ต้องแสดงความจริงจังในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นี่เป็นการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ที่ทำให้ผู้นำประเทศต้องแสดงภาพลักษณ์ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม แต่ข้อจำกัดของโครงสร้างนิยมคือ การเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานต้องใช้เวลา ซึ่งอาจไม่ทันต่อวิกฤตที่เร่งด่วน
มาร์กซิสต์กับการมองความไม่เท่าเทียมเชิงโครงสร้าง
มาร์กซิสต์ให้ความสำคัญกับโครงสร้างความไม่เท่าเทียมในระบบโลกาภิวัตน์ โดยชี้ว่าประเทศพัฒนาแล้วมักใช้ COP เป็นเวทีเพื่อรักษาความได้เปรียบ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การกำหนดกลไกตลาดคาร์บอนที่ช่วยให้ประเทศพัฒนาแล้วสามารถซื้อโควตาการปล่อยก๊าซจากประเทศกำลังพัฒนาแทนการลดการปล่อยก๊าซในประเทศของตนเอง (Roberts & Parks, 2007)
มาร์กซิสต์ยังวิจารณ์ว่า การสนับสนุนเงินทุนของประเทศพัฒนาแล้วยังต่ำกว่าที่สัญญาไว้ ซึ่งสะท้อนความล้มเหลวของระบบที่สร้างความเป็นธรรม เสรีนิยมตอบโต้ว่า แม้ความไม่เท่าเทียมจะเป็นปัญหา แต่การใช้กลไกความร่วมมือ เช่น Green Climate Fund เป็นวิธีที่เหมาะสมกว่าแนวคิดแบบปฏิวัติที่ยากจะเกิดขึ้นในโลกจริง
แนวทางผสมผสานเพื่อความร่วมมือและความเป็นธรรม
เมื่อวิเคราะห์ในเชิงเปรียบเทียบ แนวคิดทั้งสี่สามารถสนับสนุนกันได้ โดย
1. สัจนิยม: ช่วยให้เข้าใจความสำคัญของการผลักดันให้รัฐมหาอำนาจเห็นประโยชน์จากการลดการปล่อยก๊าซ เช่น การลงทุนในพลังงานสะอาดที่สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่
2. เสรีนิยม: ส่งเสริมกลไกความร่วมมือที่โปร่งใส เช่น การกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนสำหรับประเทศที่ไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีใน Paris Agreement
3. โครงสร้างนิยม: สร้างบรรทัดฐานใหม่ เช่น “ความยุติธรรมทางสภาพภูมิอากาศ” และขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของทั้งรัฐและสังคม
4. มาร์กซิสต์: ผลักดันการปฏิรูประบบการเงิน เช่น การเพิ่มงบประมาณใน Loss and Damage และลดเงื่อนไขที่เป็นภาระต่อประเทศกำลังพัฒนา
บทสรุป: การบรรลุเป้าหมายผ่านการสนทนาและการประสานพลัง
การประชุม COP จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อมีการยอมรับและปรับใช้แนวคิดที่หลากหลาย การแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ใช่แค่เรื่องของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่เป็นเรื่องของการสร้างระบบที่เป็นธรรมและยั่งยืน การสนทนาข้ามทฤษฎีเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การประสานระหว่างผลประโยชน์แห่งชาติ ความร่วมมือพหุภาคี บรรทัดฐานใหม่ และความเท่าเทียมทางโครงสร้างคือทางออกที่สำคัญในการสร้างโลกที่ดีกว่าเดิม
อ้างอิง
Bäckstrand, K., et al. (2017). “Non-state actors in global climate governance: from Copenhagen to Paris and beyond.” Environmental Politics.
Finnemore, M., & Sikkink, K. (1998). “International norm dynamics and political change.” International Organization.
Keohane, R. O., & Victor, D. G. (2016). “Cooperation and discord in global climate policy.” Nature Climate Change.
Okereke, C. (2010). “Climate justice and the international regime.” Wiley Interdisciplinary Reviews: Climate Change.
Roberts, J. T., & Parks, B. C. (2007). A Climate of Injustice: Global Inequality, North-South Politics, and Climate Policy.
UNFCCC. (2023). “Green Climate Fund.” www.unfccc.int
ประมวลโดย Chat GPT