
สิทธิของธรรมชาติ (Rights of Nature) เป็นหนึ่งในกระแสความเปลี่ยนแปลงสำคัญของโลกในศตวรรษที่ 21 ที่ท้าทายรากฐานของระบบกฎหมายและความคิดแบบมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (anthropocentrism) โดยชี้ให้เห็นว่า ธรรมชาติไม่ควรถูกมองเป็นเพียงทรัพยากรที่มนุษย์ใช้ประโยชน์ หากแต่ควรได้รับการยอมรับในฐานะผู้มีสิทธิที่ต้องได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกับมนุษย์
รากฐานของแนวคิดนี้สามารถสืบย้อนไปได้ถึงทศวรรษ 1970 เมื่อ Christopher D. Stone นักกฎหมายสิ่งแวดล้อมแห่งมหาวิทยาลัย Southern California ตีพิมพ์บทความชื่อ “Should Trees Have Standing?” ในปี 1972 เขาเสนออย่างท้าทายว่า ต้นไม้ แม่น้ำ หรือธรรมชาติควรมีสิทธิฟ้องร้องในศาลผ่านตัวแทนทางกฎหมาย เช่นเดียวกับเด็กหรือผู้พิการที่ไม่สามารถแสดงเจตนาได้ด้วยตนเอง (Stone, 1972) บทความนี้ได้รับความสนใจจากทั้งแวดวงวิชาการและศาล โดยแม้จะไม่เป็นที่ยอมรับในระบบกฎหมายโดยทันที แต่ก็จุดประกายการถกเถียงใหม่อย่างกว้างขวาง
ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1990 ถึงต้น 2000 นักปรัชญาและนักนิเวศวิทยาเชิงลึก (deep ecology) อย่าง Thomas Berry เสนอแนวคิด “Earth Jurisprudence” หรือ “กฎหมายโลกธรรมชาติ” ที่มองว่ากฎหมายของมนุษย์ควรเป็นเพียงส่วนย่อยที่กลมกลืนอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ (Berry, 1999) แนวคิดนี้มองธรรมชาติในฐานะระบบชีวิตที่มีความชอบธรรมโดยตัวมันเอง และมนุษย์ต้องอยู่ร่วมกันอย่างเคารพ ไม่ใช่ครอบครองหรือควบคุม
ในเวลาเดียวกัน ชนพื้นเมืองในหลายภูมิภาคของโลก โดยเฉพาะในอเมริกาใต้ โอเชียเนีย และบางส่วนของเอเชีย ต่างมีโลกทัศน์ดั้งเดิมที่สอดคล้องกับแนวคิดสิทธิของธรรมชาติ พวกเขามองว่าธรรมชาติมีวิญญาณ มีความสัมพันธ์แบบเครือญาติ และเป็นผู้มีชีวิตที่ควรได้รับความเคารพในฐานะ “ญาติร่วมโลก” การต่อสู้ของชนพื้นเมืองเหล่านี้ต่อการรุกรานจากภายนอก เช่น การทำเหมือง ป่าไม้ หรือเขื่อน จึงมักพ่วงด้วยการเรียกร้องสิทธิของแม่น้ำ ภูเขา หรือแผ่นดินแม่ให้มีสถานะทางกฎหมายด้วย (Gudynas, 2011)
การเปลี่ยนผ่านจากแนวคิดสู่กฎหมายเริ่มต้นอย่างเป็นรูปธรรมในปี 2008 เมื่อประเทศเอกวาดอร์กลายเป็นประเทศแรกของโลกที่บรรจุสิทธิของธรรมชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยใช้คำว่า Pachamama (โลกแม่) และระบุว่า ธรรมชาติมีสิทธิที่จะดำรงอยู่ ฟื้นตัว และพัฒนาได้ตามวงจรของตนเอง (Constitution of Ecuador, 2008) การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากแรงผลักดันของกลุ่มภาคประชาชน นักกฎหมายสิ่งแวดล้อม และชนพื้นเมือง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หลังการปฏิรูปรัฐธรรมนูญในประเทศ
ในปี 2010 โบลิเวียประกาศใช้ “กฎหมายแม่ธรณี” (Law of the Rights of Mother Earth) ซึ่งรับรองธรรมชาติในฐานะผู้มีสิทธิ เช่น สิทธิในการมีชีวิต สิทธิในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และสิทธิในการปราศจากมลพิษ (Government of Bolivia, 2010) กฎหมายนี้สะท้อนมุมมองจักรวาลวิทยาแบบ Andean ที่มองธรรมชาติและมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างชีวิตเดียวกัน
ในปี 2017 ประเทศนิวซีแลนด์ได้ยกระดับแนวคิดนี้ขึ้นอีกขั้น โดยรัฐสภายอมรับว่าแม่น้ำ Whanganui ซึ่งมีความสำคัญต่อชาวเมารี เป็นบุคคลทางกฎหมาย (legal person) ที่มีสิทธิและผลประโยชน์ของตนเอง (NZ Parliament, 2017) พร้อมตั้งผู้พิทักษ์สองฝ่าย ได้แก่ ตัวแทนของรัฐบาลและตัวแทนของชุมชนเมารี การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นจากการเจรจายาวนานระหว่างรัฐและชนพื้นเมืองเมารี และถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการยอมรับธรรมชาติในฐานะผู้มีสิทธิ
ในหลายประเทศ แม้จะยังไม่บรรจุแนวคิดนี้ในระดับรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายกลาง แต่ก็มีการเคลื่อนไหวในระดับท้องถิ่นหรือเชิงสัญลักษณ์อย่างกว้างขวาง เช่น เมือง Toledo ในสหรัฐอเมริกาได้ผ่านกฎหมายท้องถิ่นรับรองสิทธิของทะเลสาบ Erie ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดื่มหลักของเมือง ภายใต้การผลักดันของ Community Environmental Legal Defense Fund (CELDF, 2019) ขณะเดียวกันองค์กร Global Alliance for the Rights of Nature (GARN) ได้จัดตั้ง “ศาลจำลองของธรรมชาติ” (International Tribunal for the Rights of Nature) เพื่อพิจารณาคดีละเมิดธรรมชาติอย่างเป็นสัญลักษณ์ เช่น การตัดป่า การสร้างเขื่อน หรือการเจาะน้ำมัน (GARN, 2020)
แม้แนวคิดสิทธิของธรรมชาติจะได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในหลายประเทศและเวทีนานาชาติ เช่น ภายใต้โครงการ Harmony with Nature ขององค์การสหประชาชาติ (UN, 2021) แต่ก็ยังเผชิญข้อถกเถียงและข้อท้าทายมากมาย บางฝ่ายมองว่าแนวคิดนี้ขัดแย้งกับสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ เช่น สิทธิในทรัพย์สินหรือการพัฒนาเศรษฐกิจ ขณะที่บางกลุ่มเสนอว่า แนวคิดนี้สามารถอยู่ร่วมกับสิทธิมนุษย์ได้ หากมองมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่ใช่เจ้านายของมัน
ในด้านคุณค่า แนวคิดสิทธิของธรรมชาติมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงกรอบคิดของสังคมมนุษย์จากการมองโลกเชิงเครื่องมือ ไปสู่ความสัมพันธ์เชิงจริยธรรมและความรับผิดชอบร่วมกับระบบนิเวศ การนำแนวคิดนี้ไปสู่การจัดทำนโยบายและกฎหมายอย่างจริงจัง ย่อมช่วยสร้างพื้นฐานทางกฎหมายให้การพัฒนาเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ไม่ทำลายฐานทรัพยากรธรรมชาติที่โลกต้องพึ่งพา การรับรองสิทธิของธรรมชาติยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางอำนาจระหว่างรัฐ บริษัท และชุมชนท้องถิ่น โดยเปิดพื้นที่ให้เสียงของธรรมชาติและผู้ดูแลธรรมชาติ เช่น ชนพื้นเมือง ได้มีสถานะในกระบวนการตัดสินใจสาธารณะ และยังช่วยสร้างกรอบจริยธรรมใหม่ที่มองมนุษย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบชีวิต มิใช่ผู้ควบคุมเหนือธรรมชาติ
บทสรุปและทิศทางข้างหน้า:
นอกจากข้อเสนอเชิงปฏิบัติ แนวคิดสิทธิของธรรมชาติยังเปิดพื้นที่ให้มีการศึกษาค้นคว้าอย่างลุ่มลึกยิ่งขึ้นในหลายมิติ ซึ่งจะช่วยเสริมความเข้มแข็งและความชัดเจนของแนวทางนี้ในระดับทฤษฎีและการประยุกต์ใช้จริง ตัวอย่างของประเด็นที่ควรศึกษาเพิ่มเติม ได้แก่:
ความหมายและขอบเขตของ “สิทธิของธรรมชาติ” ในแต่ละบริบทวัฒนธรรมและระบบกฎหมาย ซึ่งยังมีความหลากหลายและตีความต่างกันอย่างมาก
ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิของธรรมชาติกับสิทธิมนุษย์ โดยเฉพาะในกรณีที่อาจเกิดความขัดแย้ง เช่น การใช้ที่ดิน การประกอบอาชีพ และการดำรงชีพของคนจน
บทบาทของภูมิปัญญาท้องถิ่นและจิตวิญญาณพื้นบ้านในการสร้างระบบกฎหมายทางเลือกที่ไม่แยกธรรมชาติออกจากมนุษย์
ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและการออกแบบนโยบายการพัฒนาใหม่ที่สามารถอยู่ร่วมกับแนวคิดสิทธิของธรรมชาติอย่างสมดุล
กลไกการจัดการข้อพิพาทที่ยึดหลักสิทธิของธรรมชาติเป็นแกนกลาง ทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ
การวิจัยในประเด็นเหล่านี้จะช่วยยกระดับจากการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ไปสู่การสร้างกรอบความรู้และเครื่องมือทางกฎหมายที่มีพลังและยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่
จากบทเรียนของประเทศและชุมชนต่าง ๆ ที่ริเริ่มและบุกเบิกแนวทางสิทธิของธรรมชาติ เราสามารถมองเห็นทิศทางความหวังและข้อเสนอแนะที่สำคัญในการขับเคลื่อนแนวคิดนี้ให้เกิดผลจริงในระดับโครงสร้าง ได้แก่:
ประการแรก คือ การสร้างกลไกที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ต้องมีการแต่งตั้งผู้พิทักษ์สิทธิของธรรมชาติที่มีอิสระ มีอำนาจทางกฎหมาย และได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้แนวคิดนี้กลายเป็นเพียงสัญลักษณ์
ประการที่สอง คือ การประสานความรู้และมุมมองของชนพื้นเมือง ภูมิปัญญาท้องถิ่น กับกฎหมายสมัยใหม่ ให้การรับรองสิทธิของธรรมชาติไม่ใช่เพียงการบัญญัติเพิ่มในตัวบทกฎหมาย แต่เป็นการยกระดับความสัมพันธ์และวัฒนธรรมของการอยู่ร่วมอย่างลึกซึ้ง
ประการที่สาม คือ การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน โดยเฉพาะชุมชนที่อยู่แนวหน้าในการดูแลระบบนิเวศ ให้มีบทบาทในกระบวนการตัดสินใจและการจัดการทรัพยากรอย่างแท้จริง เพื่อให้ธรรมชาติได้รับการปกป้องจากฐานรากของสังคม
ประการสุดท้าย คือ การยกระดับแนวคิดนี้สู่เวทีระหว่างประเทศ ผ่านข้อตกลงและมาตรฐานสากลที่รับรองสิทธิของธรรมชาติ เช่น การบรรจุไว้ในสนธิสัญญาด้านสิ่งแวดล้อม หรือการจัดตั้งกลไกระดับโลกสำหรับการพิจารณาคดีละเมิดธรรมชาติ
แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่แนวคิดสิทธิของธรรมชาติได้เปิดพื้นที่ใหม่ให้มนุษยชาติได้ตั้งคำถามกับวิถีการพัฒนาแบบเดิม และมองหาหนทางร่วมกันที่ตั้งอยู่บนฐานของความสัมพันธ์ ความเคารพ และความยุติธรรมระหว่างมนุษย์กับโลกใบนี้ หากสังคมสามารถเรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมาและร่วมกันออกแบบกลไกที่ยึดโยงกับความเป็นจริง แนวคิดนี้ย่อมมีพลังในการนำพาโลกไปสู่ความสมดุลและความยั่งยืนในระยะยาว
Berry, T. (1999). The Great Work: Our Way into the Future. Bell Tower.
CELDF. (2019). Community Environmental Legal Defense Fund Annual Report.
Constitution of Ecuador. (2008). Republic of Ecuador Constitution.
GARN. (2020). International Rights of Nature Tribunal Report. Global Alliance for the Rights of Nature.
Government of Bolivia. (2010). Law of the Rights of Mother Earth.
Gudynas, E. (2011). Buen Vivir: Today’s Tomorrow. Development, 54(4), 441–447.
NZ Parliament. (2017). Te Awa Tupua (Whanganui River Claims Settlement) Act 2017.
Stone, C. D. (1972). Should Trees Have Standing? — Toward Legal Rights for Natural Objects. Southern California Law Review, 45, 450–501.
United Nations. (2021). Harmony with Nature Programme. Retrieved from https://harmonywithnature.un.org/