เครดิตภาพ : สมบูรณ์ คำแหง
ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตซ้อนวิกฤต ทั้งเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐบาลได้เดินหน้าเสนอร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 14 จังหวัด ด้วยจุดมุ่งหมายประกาศไว้ว่าเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเปิดประเทศสู่การลงทุนต่างชาติ ทว่าเบื้องหลังถ้อยคำหรูหราและแผนพัฒนาอุตสาหกรรมกลับซ่อนข้อเท็จจริงสำคัญที่ต้องการการขบคิดอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะในมิติสังคม สิ่งแวดล้อม และสิทธิของชุมชนท้องถิ่น
ร่างกฎหมายความยาว 71 มาตรานี้ เป็นมากกว่ากรอบทางเศรษฐกิจ หากแต่เป็นโครงสร้างอำนาจที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ระบบนิเวศ และความเป็นธรรมในระดับรากฐาน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่า กฎหมายนี้ไม่ได้ให้พื้นที่สำหรับชุมชนในการตัดสินใจ หากกลับลดบทบาทของประชาชนให้เหลือเพียงผู้รับรู้ข่าวสาร และเป็นเพียงผู้รอรับการเยียวยาหากได้รับผลกระทบจากโครงการ
การพัฒนาเพื่อใคร? ใครอยู่ในสมการ ใครถูกลบทิ้ง
เป้าหมายหลักของ SEC มีอยู่สองประการชัดเจน ได้แก่ การยกเว้นกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน และการออกมาตรการจูงใจต่างชาติให้เข้ามาครอบครองปัจจัยการผลิต อาทิ ที่ดิน น้ำ และแรงงาน ซึ่งเนื้อหาโดยรวมใน 71 มาตรานั้น ไม่ได้กล่าวถึงกลไกการมีส่วนร่วมจากชุมชน ไม่มีการระบุถึงสิทธิในทรัพยากรของคนในพื้นที่ และไม่ได้เปิดช่องให้มีการตัดสินใจร่วมทางนโยบาย
เมื่อพิจารณาในเชิงโครงสร้างแล้ว กฎหมายฉบับนี้วางรากฐานของระเบียบใหม่ที่อาจทำให้คนใต้กลายเป็น “คนพื้นเมืองในถิ่นตนเอง” ภายใต้ระบบการบริหารพิเศษที่ให้สิทธิและความคุ้มครองทางกฎหมายแก่นักลงทุนต่างชาติมากกว่าประชาชนท้องถิ่น หากเดินหน้าตามแผน รัฐบาลคาดว่าจะผ่านร่างกฎหมายนี้ภายในปลายปี 2568 และเริ่มดำเนินการได้จริงในปี 2569
วิกฤตภูมิอากาศ มิติที่ถูกลบจากสมการพัฒนา
หนึ่งในข้อวิพากษ์สำคัญต่อร่าง พ.ร.บ. SEC คือการละเลยประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่ภาคใต้คือหนึ่งในภูมิภาคที่เปราะบางต่อผลกระทบทางภูมิอากาศมากที่สุดของประเทศไทย การพัฒนาอุตสาหกรรมหนักในพื้นที่ป่าชื้น ป่าพรุ และพื้นที่ชุ่มน้ำ จะทำให้แหล่งดูดซับคาร์บอนตามธรรมชาติถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว
งานวิจัยจาก GIZ (2021) ระบุว่า พื้นที่พรุในภาคใต้เก็บกักคาร์บอนในระดับ 480-800 ตันต่อไร่ หากถูกทำลายเพียง 10,000 ไร่ อาจทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 4.8 ล้านตันฯ ในระยะเวลาอันสั้น ขณะที่โครงการ SEC ไม่ได้มีมาตรการลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่รับผิดชอบต่อวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยและของโลก และจะทำให้เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกฉบับล่าสุด (NDC 3.0) และแผนการปรับตัวและสภาพภูมิอากาศ (NAP) ที่รัฐบาลไทยเตรียมนำไปเสนอในเวที COP 30 ที่บราซิลไม่บรรลุผล
นอกจากนี้ รายงานของ Climate Impact Asia (2022) ระบุว่าภาคใต้มีความเสี่ยงสูงต่อภัยพิบัติที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เช่น น้ำท่วมฉับพลัน พายุหมุนเขตร้อน และการกัดเซาะชายฝั่ง หากการพัฒนาไม่ได้วางอยู่บนฐานการฟื้นฟูระบบนิเวศ แต่กลับยิ่งเร่งให้สูญเสียภูมิต้านทานทางธรรมชาติ ย่อมเป็นการผลักให้ชุมชนเสี่ยงต่อความเสียหายยิ่งขึ้น
ความหลากหลายทางชีวภาพ สรรพชีวิตธรรมชาติร่วมกับมนุษย์ของโลกที่กำลังสลาย
ภาคใต้ของไทยคือพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงสุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะพื้นที่พรุ ป่าดิบชื้น และแนวชายฝั่งซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์หายากจำนวนมาก รายงานของ IUCN (2020) ระบุว่า พื้นที่ชุ่มน้ำบางแห่งในภาคใต้เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสายพันธุ์เฉพาะถิ่นที่กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์ เช่น นกแต้วแล้วท้องดำ ปลาเฉี่ยวพรุ และพรรณไม้ที่มีศักยภาพทางยารักษาโรค
การผลักดัน SEC โดยไม่มีการประเมินผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างเข้มข้นจึงไม่เพียงเป็นการมองข้ามมรดกธรรมชาติของชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นการลดโอกาสในการปรับตัวของระบบนิเวศต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากความหลากหลายทางชีวภาพคือปัจจัยสำคัญในการคงเสถียรภาพและความยืดหยุ่นของระบบนิเวศ เช่น การฟื้นฟูป่าชายเลนเพื่อรับมือกับพายุและการกัดเซาะ
เมื่อความหลากหลายทางชีวภาพถูกทำลาย การดูดซับคาร์บอนตามธรรมชาติก็ลดลง ความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิและเก็บกักน้ำตามฤดูกาลลดลง และสัตว์ป่าหรือพันธุ์พืชที่อาจเป็นคำตอบต่อโรคหรือการเปลี่ยนแปลงในอนาคตก็อาจสูญหายไปตลอดกาล
ความไม่เป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ ใครได้ประโยชน์ ใครแบกรับความเสี่ยง
SEC ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ แต่ยังตอกย้ำความไม่เป็นธรรมด้านภูมิอากาศ (climate injustice) อย่างชัดเจน ประชาชนในภาคใต้ ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน เกษตรอินทรีย์ และการท่องเที่ยวชุมชน จะต้องแบกรับผลกระทบจากอุตสาหกรรมและการลงทุนที่ตนไม่มีส่วนร่วมในการออกแบบ โดยปราศจากกลไกชดเชยที่เป็นธรรม
ในทางกลับกัน นักลงทุนรายใหญ่จำนวนมากมาจากนอกภูมิภาค หรือเป็นทุนข้ามชาติที่แทบไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบในระดับพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มคาร์บอนฟุตพรินต์ มลพิษทางน้ำ หรือการรุกล้ำระบบนิเวศชายฝั่ง ซึ่งทั้งหมดนี้คือปัจจัยที่ทำให้ “การพัฒนา” กลายเป็นกลไกสะสมทุนบนต้นทุนของผู้อื่น โดยเฉพาะชุมชนท้องถิ่นและธรรมชาติ
Thai Climate Justice for All ชี้ว่า ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศต้องเริ่มจากการยอมรับว่า ไม่ใช่ทุกคนมีความรับผิดชอบต่อวิกฤตเท่ากัน และไม่ใช่ทุกคนสามารถป้องกันตนเองได้เท่ากัน SEC จึงไม่ควรถูกเสนอโดยไม่ตรวจสอบว่าแผนพัฒนาเหล่านี้จะส่งเสริมหรือบ่อนทำลายความสามารถของชุมชนในการปรับตัว (resilience) ต่อวิกฤตในระยะยาว
การตีความผ่านแนวคิดของ Thomas Berry และ Eduardo Viveiros de Castro
Thomas Berry นักเทววิทยาเชิงนิเวศเสนอว่า มนุษย์ต้องเปลี่ยนจากจุดยืน “ผู้ควบคุมธรรมชาติ” ไปสู่ “ผู้ร่วมชะตากรรมในระบบจักรวาล” การออกแบบกฎหมายหรือการพัฒนาต้องวางอยู่บนความเข้าใจใน “กาละและเทศะ” ของธรรมชาติ ซึ่งเป็นระบบชีวิต ไม่ใช่ทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป
Eduardo Viveiros de Castro นักมานุษยวิทยาชาวบราซิล ผู้เสนอแนวคิด Perspectivism เน้นว่า โลกไม่ควรถูกมองด้วยสายตาของมนุษย์เพียงผู้เดียว สิ่งมีชีวิตอื่นก็มีโลกทัศน์และสิทธิเช่นกัน การผลักดันการพัฒนาโดยไม่เห็นระบบเครือญาติระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตอื่น คือความรุนแรงทางโครงสร้างที่ลึกยิ่งกว่าอำนาจทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ
สรุป จากสิทธิของธรรมชาติสู่ความเป็นธรรมสภาพภูมิอากาศ
การวิเคราะห์ร่าง พ.ร.บ. SEC จึงต้องพิจารณาในฐานะ “ข้อเสนอโครงสร้าง” ที่อาจเปลี่ยนแปลงอนาคตของภูมิภาคไปในทางที่ย้อนแย้งกับเป้าหมายแห่งความยั่งยืน ไม่เพียงลดทอนสิทธิของคนในพื้นที่ หากยังละเลยสิทธิของธรรมชาติในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการดำรงอยู่ของโลก
การต่อต้าน SEC ไม่ใช่เพียงการปกป้องทรัพยากร แต่คือการเรียกร้อง “สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี” และ “ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ” ซึ่งจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ หากชุมชนไม่ได้มีเสียง และธรรมชาติไม่ได้มีสิทธิ



อ้างอิง
GIZ Thailand. Peatland and Climate Change Report, 2021.
Climate Impact Asia. Climate Vulnerability in Southern Thailand, 2022.
UN Human Rights Council. Resolution on the Right to a Healthy Environment, 2021.
Berry, Thomas. The Great Work: Our Way Into the Future. Bell Tower, 1999.
Viveiros de Castro, Eduardo. Cosmological Deixis and Amerindian Perspectivism. Journal of the Royal Anthropological Institute, 1998.
Friends of the Earth International. Climate Justice and Energy, 2020.
IUCN. Biodiversity and Wetlands in Southern Thailand, 2020.
ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและสิทธิมนุษยชนภาคใต้. รายงานวิเคราะห์ร่าง พ.ร.บ. SEC, 2566.