
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา กระแสความคิดด้านนิเวศวิทยาและจิตวิญญาณได้เกิดขึ้นอย่างหลากหลายในโลกตะวันตก นักคิดจำนวนไม่น้อยพยายามประสานความรู้สมัยใหม่กับความเข้าใจต่อธรรมชาติในเชิงลึก โดยเฉพาะความพยายามของ Thomas Berry ในการเชื่อมมนุษย์กลับสู่ “เรื่องเล่า” อันศักดิ์สิทธิ์ของจักรวาล
ทว่าในอีกด้านหนึ่งของโลก Eduardo Viveiros de Castro นักมานุษยวิทยาชาวบราซิล ได้ออกเดินทางไปในทิศทางที่แตกต่างและลึกซึ้งยิ่งกว่า เขาไม่ได้พยายามสร้างเรื่องเล่าหนึ่งเดียวขึ้นใหม่ หากแต่เขาท้าทายแม้กระทั่งแนวคิดพื้นฐานที่ว่าจักรวาลนั้นมีหนึ่งเดียว เขาเสนอว่า “โลกไม่ได้มีธรรมชาติหนึ่งเดียว หากแต่มีหลายธรรมชาติที่ดำรงอยู่ผ่านสายตาของแต่ละชีวิต”
แนวคิดที่ทำให้ Viveiros de Castro กลายเป็นหนึ่งในนักมานุษยวิทยาที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคหลังสมัยใหม่ เริ่มต้นจากการทำงานภาคสนามกับกลุ่มชนพื้นเมืองในลุ่มน้ำแอมะซอน โดยเฉพาะชาว Araweté ซึ่งกลายเป็นหัวใจของหนังสือสำคัญ From the Enemy’s Point of View: Humanity and Divinity in an Amazonian Society (1986/1992) ผลงานเล่มนี้มิได้เพียงเก็บข้อมูลเชิงชาติพันธุ์วิทยาเท่านั้น หากแต่เปลี่ยนวิธีที่นักวิชาการควรคิดเกี่ยวกับความเป็นจริง
ชาว Araweté มีระบบความเชื่อที่ทลายความแบ่งแยกระหว่างมนุษย์ สัตว์ วิญญาณ และเทพเจ้า พวกเขาเชื่อว่าเทพเจ้ากินอาหารแบบเดียวกับมนุษย์ เดินเหมือนมนุษย์ และมีวิถีชีวิตเช่นเดียวกับพวกเขา ต่างกันเพียงรูปลักษณ์ภายนอก บ่อยครั้งที่สัตว์อย่างเสือหรือวิญญาณถูกเข้าใจว่าเป็น “คน” ที่มีร่างกายต่างไปจากมนุษย์ ในขณะที่มนุษย์มองพวกมันเป็นสัตว์ แต่ในมุมมองของเสือ เสือกลับมองตัวเองว่าเป็นมนุษย์ และมองมนุษย์เป็นเหยื่อเสียด้วยซ้ำ (Viveiros de Castro, 1992)
จากการศึกษาภาคสนามนี้ Viveiros de Castro พัฒนาแนวคิดที่กลายเป็นจุดพลิกผันของมานุษยวิทยาร่วมสมัย: Amerindian perspectivism หรือ “ญาณทัศน์เชิงมุมมองของชนพื้นเมืองอเมริกาใต้” ซึ่งเสนอว่าโลกไม่ใช่สิ่งที่ดำรงอยู่อย่างเดียวกันสำหรับทุกสายชีวิต หากแต่เป็นผลรวมของ “มุมมอง” อันแตกต่างกันที่เชื่อมโยงกับร่างกายของสิ่งมีชีวิตแต่ละแบบ มนุษย์ สัตว์ เทพ วิญญาณ ต่างมีจิตสำนึกที่ใกล้เคียงกัน แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขามองโลกแตกต่างกันคือ “ร่างกาย” ไม่ใช่ “จิตใจ”
แนวคิดนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากแนวทาง “multiculturalism” ที่เป็นกระแสหลักในมานุษยวิทยาตะวันตก ซึ่งมักเชื่อว่าทุกวัฒนธรรมมองโลกที่มีธรรมชาติหนึ่งเดียวผ่านเลนส์ของตนเอง แต่สำหรับ Viveiros de Castro แล้ว นี่คือการลดทอนความจริงอันลึกซึ้งของชนพื้นเมือง เขาเสนอแนวทางใหม่ว่าเราควรเข้าใจโลกเป็น “multinaturalism” คือแต่ละสายชีวิตดำรงอยู่ภายใน “ธรรมชาติ” ของตนเองที่ไม่เหมือนกัน โดยไม่จำเป็นต้องนำมารวมกันเป็นชุดธรรมชาติสากลที่มนุษย์ตะวันตกเป็นผู้กำหนด (Viveiros de Castro, 2004)
ปรัชญานี้ถูกขยายและขัดเกลาในผลงาน Cannibal Metaphysics (2014) ซึ่งเขาเสนอให้เรากลับหัวกลับหางโครงสร้างญาณวิทยาของตะวันตก เขาใช้คำว่า “มนุษย์กินคนทางอภิปรัชญา” เพื่อชี้ว่าแทนที่เราจะพยายามแปลความคิดของชนพื้นเมืองให้เข้ากับโครงสร้างความรู้แบบตะวันตก เราควรปล่อยให้ความคิดของชนพื้นเมือง “กลืนกิน” และย่อยความรู้ตะวันตกเสียเอง เป็นการ “ทรยศ” ต่อระเบียบความคิดแบบยุโรปที่ไม่เคยเปิดทางให้มุมมองอื่น
Viveiros de Castro ไม่ได้เพียงแค่วิพากษ์ความคิดเชิงวิทยาศาสตร์หรือศาสนาเท่านั้น แต่รวมไปถึงมนุษยศาสตร์ตะวันตกทั้งระบบ เขาชี้ว่านักมานุษยวิทยาไม่ควรทำหน้าที่เป็นเพียงผู้แปลภาษา แต่ควรยอมให้ “ผู้อื่น” เปลี่ยนวิธีคิดของเราแทน เพราะทันทีที่เราแปลความคิดของคนอื่นให้อยู่ในกรอบของเราเอง เราก็ทำลายความเป็นจริงของเขาเสียแล้ว
ผลกระทบของแนวคิดนี้ขยายวงกว้างออกไปนอกวงวิชาการ เขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้แนวคิด cosmopolitics และสิทธิของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในโลก เช่น ขบวนการเรียกร้องสิทธิให้แม่น้ำ ภูเขา หรือวิญญาณในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ได้รับการยอมรับอย่างเสมอภาคในเชิงกฎหมาย แนวคิด perspectivism ชี้ว่า หากเรายอมรับว่าสิ่งเหล่านี้มี “มุมมอง” มีวิธีคิด มีระบบการรับรู้ เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินหรือจัดระเบียบโลกจากมุมมองมนุษย์ฝ่ายเดียวอีกต่อไป
แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่าแนวคิดของเขายากต่อการนำไปใช้ในเชิงนโยบาย หรืออาจคลุมเครือเกินไปในเชิงปฏิบัติ แต่ในบริบทของวิกฤตภูมิอากาศ วิกฤตโลกทัศน์ และการพังทลายของสิ่งมีชีวิตทั้งระบบ แนวคิดของ Viveiros de Castro กลับกลายเป็นหนึ่งในไม่กี่ทฤษฎีที่กล้าท้าทายรากฐานของอารยธรรมมนุษย์เสียเอง
ในที่สุด แนวคิดของเขาไม่ได้พาเราไปสู่การฟื้นคืนความศักดิ์สิทธิ์ของโลกแบบเดียวกับ Thomas Berry หากแต่ชี้ให้เราเห็นว่า “ไม่มีโลกเดียวให้เราฟื้น” และบางทีสิ่งที่เราควรทำ ไม่ใช่ “ฟื้นโลก” แต่คือการนิ่งฟังโลกที่หลากหลาย ซึ่งบางโลกอาจไม่พูดภาษาของเราเลยด้วยซ้ำ
จักรวาลที่ไม่เป็นหนึ่งเดียว การขยายตัวของ perspectivism จากป่าแอมะซอนสู่โต๊ะประชุมโลก
หากการปฏิวัติวิธีคิดที่สำคัญที่สุดในศตวรรษนี้ไม่ใช่การเปลี่ยนเทคโนโลยี แต่คือการเปลี่ยน วิธีมองโลก
Eduardo Viveiros de Castro คงเป็นหนึ่งในนักคิดที่อยู่แนวหน้า เขาไม่เพียงให้เครื่องมือทฤษฎีแก่สาขามานุษยวิทยา แต่ได้วางรากฐานสำหรับการเข้าใจ “ความหลากหลายของความจริง” ในโลกที่กำลังแตกออกเป็นเสี่ยงด้วยวิกฤตสิ่งแวดล้อมและอารยธรรมที่ไม่สอดคล้องกัน
แนวคิด perspectivism ของเขาไม่ได้หยุดอยู่ที่การอธิบายว่าสัตว์หรือเทพเจ้าในความเชื่อของชนพื้นเมืองแอมะซอนมีมุมมองแบบมนุษย์ หากแต่เป็นการวิพากษ์อย่างรุนแรงต่อญาณวิทยาตะวันตกทั้งหมดซึ่งยึดมั่นใน “ธรรมชาติหนึ่งเดียว” ที่เป็นจริงสำหรับทุกคน และกำหนดให้วัฒนธรรมเป็นเพียงเลนส์ในการมองความจริงนั้น การพลิกกลับของ de Castro คือการเสนอว่า “ธรรมชาติไม่เป็นหนึ่งเดียว” มีหลายธรรมชาติ (multinaturalism) ซึ่งถูกสร้างขึ้นและรับรู้ต่างกันจากตำแหน่งของร่างกายแต่ละแบบ
ในเชิงอภิปรัชญา นี่คือการล้มล้าง “ontology แบบสากล” ที่วิทยาศาสตร์ตะวันตกวางเป็นมาตรฐานของความรู้ และแทนที่ด้วย relational ontology หรือ “ภววิทยาแบบสัมพันธ์” ซึ่งไม่มีอะไรดำรงอยู่ลำพัง นั่นหมายความว่า มนุษย์ สัตว์ วิญญาณ ภูเขา ล้วนเป็นองค์ประกอบของระบบความสัมพันธ์ที่ต่างก็มีมุมมอง มีภาษา และมีความจริงของตนเอง
ข้อถกเถียงและการวิพากษ์: Perspectivism หรือ Relativism?
นักปรัชญาและมานุษยวิทยาบางคน โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาเหนือ มองว่าแนวคิด perspectivism ของ de Castro มีลักษณะเป็น relativism ที่สุดโต่ง กล่าวคือ ถ้าทุกชีวิตมีความจริงของตัวเอง แล้วจะยังมีอะไรที่เป็นพื้นฐานร่วมกันได้อีก? และหากไม่มีกรอบภววิทยาร่วม เราจะสื่อสารกันในฐานะสังคมโลกได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม de Castro ตอบโต้ว่า perspectivism ไม่ใช่ relativism เพราะเขาไม่ได้บอกว่า “ทุกความจริงเป็นจริงเท่ากันหมด” หรือ “ไม่มีความจริงเลย”
แต่เขาชี้ว่า “สิ่งที่เรียกว่า ‘ความจริง’ ขึ้นกับตำแหน่งแห่งร่างกาย” กล่าวคือ สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดรับรู้โลกผ่านร่างกายและวิถีดำรงอยู่ที่แตกต่างกัน ดังนั้นการสนทนาเรื่องความจริงจำเป็นต้องเริ่มจากการยอมรับว่าความจริงไม่ได้เป็นกลาง และไม่แบนราบ หากแต่มีรากในภาวะสัมพันธ์ที่ซับซ้อน
งานของเขาจึงอยู่ในกลุ่มนักคิดแนว ontological turn ซึ่งรวมถึง Philippe Descola, Marilyn Strathern, และ Tim Ingold ที่พยายามชี้ว่า “ความจริง” และ “ธรรมชาติ” เป็นผลผลิตของการอยู่ร่วมกันของมนุษย์-ไม่ใช่มนุษย์-เทคโนโลยี-วัตถุ-ภาษา-ความทรงจำ
จากแนวคิดสู่การเมือง: Cosmopolitics และสิทธิของสิ่งมีชีวิตอื่น
หนึ่งในนักวิชาการที่นำแนวคิดของ de Castro ไปขยายผลเชิงการเมืองได้อย่างโดดเด่นคือ Marisol de la Cadena นักมานุษยวิทยาชาวเปรู ซึ่งทำงานในเทือกเขาแอนดีสกับชาวพื้นเมือง Quechua
เธอเสนอว่า หากแนวคิดของรัฐมีเพียง “พลเมืองมนุษย์” และ “ธรรมชาติที่ไม่มีเสียง” การเมืองของเราย่อมเป็นการเมืองแบบ exclusion โดยพื้นฐาน เพราะมันตัดสิทธิของสายชีวิตอื่น ๆ ทิ้งไปโดยไม่ได้รับฟังเลย
ด้วยการยอมรับว่าภูเขา แม่น้ำ วิญญาณ และสัตว์ต่างก็มี “มุมมองของตนเอง” ตามที่ perspectivism เสนอ
de la Cadena จึงผลักดันแนวคิด cosmopolitics ซึ่งไม่ใช่เพียงการรวมผู้คนหลากเชื้อชาติศาสนา แต่รวมถึงการเปิดพื้นที่ให้สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และโลกทัศน์อื่น ๆ มีสิทธิกำหนดอนาคตร่วม
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการที่รัฐเอควาดอร์และโบลิเวียบรรจุ “สิทธิของธรรมชาติ” ลงในรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้รับแรงหนุนทั้งจากแนวคิดพื้นเมืองดั้งเดิม (เช่น Pachamama) และงานวิชาการเชิงอภิปรัชญาแบบ perspectivism ที่เสนอให้สิ่งมีชีวิตอื่นมี “ความเป็นเจ้าของ” ต่อความจริงของตน
ในระดับโลก แนวคิดนี้ยังเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวของชนเผ่าพื้นเมืองที่ต่อต้านเหมืองแร่ การตัดถนนผ่านป่า และโครงการพัฒนาแบบอาณานิคม เช่น กรณี Yanomami หรือ Kayapo ที่ไม่ใช่เพียงการต่อสู้เรื่องพื้นที่อยู่อาศัย แต่คือการต่อสู้เพื่อโลกทัศน์ที่ไม่ให้มนุษย์ตะวันตกนิยามทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว
ขยายผลสู่การศึกษาและวิธีวิทยา
ในภาคการศึกษา โดยเฉพาะในละตินอเมริกาและยุโรป แนวคิดของ de Castro ถูกนำไปใช้เพื่อวิพากษ์หลักสูตรที่มีโลกทัศน์ตะวันตกเป็นศูนย์กลาง นักการศึกษาในบราซิล เอกวาดอร์ และโคลอมเบีย เรียกร้องให้มหาวิทยาลัยไม่เพียงเปิดพื้นที่ให้ความรู้พื้นเมือง แต่ต้องยอมให้ “ความจริงอื่น” เหล่านั้นสามารถ วิพากษ์กรอบของมหาวิทยาลัยเองได้ด้วย
อีกด้านหนึ่ง นักวิจัยสิ่งแวดล้อมได้นำ perspectivism ไปประยุกต์ใช้ในการสร้างแบบจำลองสิ่งแวดล้อมที่ไม่มองสิ่งแวดล้อมเป็นระบบที่มนุษย์ควบคุมได้ แต่เป็นระบบที่ต้องฟังเสียงจากหลายมุม — ทั้งสายพันธุ์อื่น ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และเรื่องเล่าทางจิตวิญญาณของชุมชน
ปิดท้าย: โลกที่เปลี่ยนเราได้
แนวคิดของ Eduardo Viveiros de Castro มิใช่เพียงเครื่องมือทางทฤษฎี หากแต่เป็นข้อเรียกร้องให้มนุษย์ปลดเปลื้องบทบาท “ผู้เล่าเรื่องหลัก” แล้วเปิดพื้นที่ให้โลกที่มองเรากลับ เขาไม่ได้เพียงพูดถึงสิ่งมีชีวิตอื่น แต่รวมถึงการให้สิทธิแก่ความไม่เข้าใจ ความไม่แปล ความไม่เป็นเรา ให้ดำรงอยู่โดยไม่จำเป็นต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของ “มนุษยศาสตร์”
ในห้วงเวลาที่สิ่งแวดล้อมกำลังจะไม่ทนเราอีกต่อไป แนวคิดของ de Castro อาจเป็นหนึ่งในไม่กี่แสงสว่างที่ไม่ใช่แสงของมนุษย์ — แต่คือแสงจากสายตาของเสือที่มองเรากลับ ในฐานะสัตว์ประหลาดที่พยายามอธิบายจักรวาลด้วยภาษาของตนอยู่ฝ่ายเดียว
แหล่งอ้างอิง
Viveiros de Castro, E. (1992). From the Enemy’s Point of View: Humanity and Divinity in an Amazonian Society. University of Chicago Press.
Viveiros de Castro, E. (2004). “Perspectivism and Multinaturalism in Indigenous America.” In The Anthropology of Nature.
Viveiros de Castro, E. (2014). Cannibal Metaphysics. Univocal Publishing.
De la Cadena, M., & Blaser, M. (Eds.). (2018). A World of Many Worlds. Duke University Press.
