
“ธรรมชาติไม่เคยเป็นสิ่งที่อยู่นอกตัวเรา มันคือสายเลือดของความทรงจำ วิญญาณของแม่ และบทเพลงที่แม่น้ำยังร้องอยู่ แม้ไม่มีใครฟัง” ในหลายร้อยภาษาของชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลก ไม่มีคำที่แปลตรงกับคำว่า “ธรรมชาติ” ตามความหมายแบบตะวันตก ซึ่งมักหมายถึงสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากมนุษย์ และแยกจากจิตใจ วัฒนธรรม หรือวิญญาณของผู้คน ความเงียบของคำนี้ ไม่ได้สะท้อนความบกพร่องของภาษา แต่กลับสะท้อนถึงโลกทัศน์อีกแบบหนึ่ง ที่ไม่ได้วางมนุษย์ไว้แยกออกจากป่า สัตว์ ดิน น้ำ หรือท้องฟ้า โลกทัศน์ที่ไม่จำเป็นต้องจัดวางสิ่งใดเป็น “ธรรมชาติ” เพราะไม่มีสิ่งใดที่อยู่นอกชีวิต
1. ภาษาไม่ใช่เพียงคำพูด แต่เป็นโครงสร้างของการดำรงอยู่
- ในภาษานาวาโฮ ไม่มีคำว่า “ธรรมชาติ” แต่มีคำว่า Hózhó ซึ่งหมายถึง “การมีชีวิตที่กลมกลืนกับจักรวาล” กลมกลืนกับดิน ลม ฟ้า แม่น้ำ และวิญญาณของบรรพชน
- ในภาษาของชาวโปโตวาโตมี (Potawatomi) คำว่า puhpowee แปลว่า “พลังของเห็ดที่ดันตัวขึ้นจากดิน” เป็นกริยา ไม่ใช่คำนาม แสดงว่าโลกไม่ใช่สิ่งตายตัว แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง และกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้
- ในภาษากะเหรี่ยง ไม่มีคำว่า “ธรรมชาติ” แยกจากชีวิต พวกเขาพูดถึง “ทีเด่อ” (ผืนดิน) “ทีถิ” (ป่า) “แม่โพสพ” หรือ “ป่าผี” ผ่านพิธีกรรม ไม่ใช่แค่คำอธิบาย
- ในภาษาควิชัว (Quechua) ชาวแอนเดสพูดถึง Pachamama ไม่ใช่ในฐานะทรัพยากร แต่คือแม่โลกที่ต้องเลี้ยงดู แลกเปลี่ยน และร้องเพลงให้ฟัง
“เมื่อเราเดินในป่า เราไม่ได้เดินคนเดียว เราเดินท่ามกลางความทรงจำของบรรพบุรุษ” — ผู้เฒ่าปกาเกอะญอ
“เราจะไม่ไปอธิบายป่า เพราะป่ากำลังอธิบายตัวมันอยู่แล้ว” — ผู้นำชาว Kichwa, เอกวาดอร์
“ก่อนจะเก็บเห็ด เราขอขมา เราร้องเพลง เราแตะดินด้วยหัวใจ ไม่ใช่มือเปล่า” — เด็กหญิงชาว Sámi
2. ธรรมชาติในแบบตะวันตก การแยกส่วนเพื่อจัดระเบียบจักรวาล
- คำว่า “ธรรมชาติ” (nature) มาจากภาษาละติน natura และภาษากรีก physis ซึ่งเคยหมายถึงพลังการก่อกำเนิดของโลก แต่ถูกทำให้เป็นนามธรรม แยกจากมนุษย์ เมื่อเข้าสู่ยุควิทยาศาสตร์สมัยใหม่
- Descartes เสนอว่า มนุษย์คือ “จิต” ส่วนโลกคือ “วัตถุ” Newton มองธรรมชาติเป็นกลไกที่ทำงานตามกฎ การรู้ธรรมชาติจึงหมายถึงการวัด การทำนาย และการควบคุม
- ภายใต้โลกทัศน์นี้ ธรรมชาติถูกทำให้เป็น object ถูกจัดการ ใช้ประโยชน์ อนุรักษ์ หรือฟื้นฟู โดยมีมนุษย์เป็นผู้ควบคุมอยู่เหนือ
- นี่คือจุดตั้งต้นของสิ่งที่นักมานุษยวิทยาอย่าง Philippe Descola เรียกว่า naturalism หรือ “จักรวาลแบบเดียว” (one-world world) วิธีคิดที่เชื่อว่ามีเพียงหนึ่งความจริง หนึ่งระบบรู้ หนึ่งจักรวาลวิทยาที่ถูกต้อง และสิ่งอื่นคือความล้าหลังหรือความเชื่องมงาย
3. การล่าอาณานิคมทางภาษาและจิตวิญญาณ
- เมื่อคำว่า “ธรรมชาติ” และโลกทัศน์แบบตะวันตกเข้าสู่ดินแดนของชนเผ่าพื้นเมือง มันไม่ได้มาอย่างว่างเปล่า แต่มาพร้อมโรงเรียน ศาสนา นโยบายป่าไม้ และเอกชน
- มันทำให้ป่ากลายเป็นทรัพยากร ทำให้สัตว์กลายเป็นวัตถุ และทำให้พิธีกรรมกลายเป็นความเชื่อที่ไม่เป็นความรู้
- มันทำให้ความรู้ที่สั่งสมผ่านเพลง บทสวด ความทรงจำ และความฝัน กลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเขียนลงในรายงานประเมินผล หรือบัญชี carbon offset ได้
- แนวคิดการอนุรักษ์ในบางประเทศจึงกลายเป็น “การอนุรักษ์โดยการยึดป่า” (green colonialism) เช่น การผลักชาวบ้านออกจากพื้นที่ เพื่อประกาศเขตอุทยาน หรือพื้นที่คุ้มครอง โดยไม่ฟังเสียงของผู้ที่อยู่กับผืนดินมาหลายชั่วอายุคน
4. เมื่อสิทธิของธรรมชาติจะกลายเป็นกับดักเดิม
- ในศตวรรษนี้ โลกเริ่มผลักดันแนวคิด Rights of Nature หรือสิทธิของธรรมชาติ เช่น ให้แม่น้ำมีสถานะเป็นนิติบุคคล มีตัวแทน มีสิทธิในการดำรงอยู่ และฟื้นฟูตัวเอง
- แต่คำถามคือ ใครเป็นคนให้น้ำมีสิทธิ ใครเป็นผู้ตีความว่าสิทธินั้นคืออะไร และระบบกฎหมายใดเป็นผู้ตัดสิน
- ในนิวซีแลนด์ แม่น้ำ Whanganui ได้รับสิทธิทางกฎหมาย เพราะชาวเมารีเชื่อว่า “I am the river and the river is me” แต่คำนี้เมื่อเข้าสู่ระบบ common law ก็ยังต้องแปลเป็นภาษาเอกสาร ภาษาเศรษฐกิจ และภาษาของรัฐ
- ถ้าไม่ระวัง การให้สิทธิกับธรรมชาติ อาจกลายเป็นการ จับจิตวิญญาณใส่กรอบกฎหมายของผู้มีอำนาจ และหากกฎหมายไม่เปิดพื้นที่ให้จักรวาลวิทยาอื่นตีความ โลกทัศน์ของชนเผ่าก็อาจถูกดูดกลืนอีกครั้ง
5. ทางเลือกของโลกที่มีหลายจักรวาล หากเราจะผลักดันสิทธิของธรรมชาติ โดยไม่ทำให้มันกลายเป็นการครอบงำแบบใหม่ เราจำเป็นต้องตั้งต้นจากหลักการที่ว่า
- ไม่มีโลกใบเดียว
- ไม่มีความจริงแบบเดียว
- ไม่มีคำเดียวที่อธิบายได้ทุกอย่าง
- เราควรใช้แนวคิด “สิทธิของธรรมชาติ” เป็น สะพานเชื่อม ไม่ใช่กรอบครอบ ควรฟังเสียงของภาษาอื่น วิธีรู้แบบอื่น เช่น ความฝัน เพลง การดมกลิ่น หรือพิธีกรรมที่ไม่อาจแปลเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ
- ผู้ร่างกฎหมายควรเรียนรู้จักการเปิดพื้นที่ให้ชุมชนมีสิทธิในการตีความสิทธิของโลก ตามวิถีของตน
- เครื่องมือหนึ่งที่เริ่มปรากฏ เช่น การประชุมวัฏจักร (circle dialogues) การร่างกฎหมายร่วมหลายภาษา หรือการแปลสิทธิผ่านภาพ เสียง และพิธีกรรม (รายละเอียดอยู่ใน comment)
- อีกแนวทางคือการฟื้นคืนภาษาดั้งเดิมที่สูญหาย พิธีกรรมประจำฤดูกาล การตั้งชื่อแม่น้ำกลับคืนจากชื่ออาณานิคม นี่คือการฟื้นฟูสิทธิของโลกจากภายใน
6. เวลา จิตวิญญาณ และวัฏจักร
- ต่างจากเวลาเชิงเส้นแบบตะวันตก โลกทัศน์ของชนเผ่าพื้นเมืองจำนวนมากเข้าใจโลกผ่าน วัฏจักร ไม่ใช่ เส้นตรง
- พวกเขาไม่วัดความสำเร็จจากการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น หรือการควบคุมได้มากขึ้น แต่จากการรักษาความสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่ก่อนหน้าและจะอยู่ต่อไป
“ป่าพักฟื้นตัวเอง ไม่ใช่เพราะเราช่วยมัน แต่เพราะมันมีจังหวะของตัวเอง” — ผู้นำชาว Dayak, อินโดนีเซีย
“เราจะอยู่รอดได้ ก็ต่อเมื่อเรายอมรับว่าทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง และยังคงรักมันอยู่” – นักเรียนหญิงชาว Maori
บทส่งท้าย โลกที่ไม่มีคำว่า “ธรรมชาติ” อาจเป็นโลกที่เราต้องกลับไปเรียนรู้ใหม่ บางภาษามีคำสำหรับแม่น้ำ ดิน ต้นไม้ ลม แต่ไม่มีคำว่าธรรมชาติ ไม่ใช่เพราะพวกเขาขาดความรู้ แต่เพราะพวกเขาไม่เคยตัดตัวเองออกจากโลก หากเราฟังอย่างลึกซึ้ง เราจะพบว่า ความเงียบของคำ คือเสียงของความสัมพันธ์ที่ไม่เคยถูกทำให้เป็นวัตถุ การไม่มีคำว่าธรรมชาติ อาจคือการปกป้องโลกจากการถูกกลืนด้วยคำๆ เดียว และบางที โลกที่ไม่เคยรู้จักคำว่าธรรมชาติ อาจเป็นโลกที่รู้จักวิธีอยู่ร่วมกับทุกสิ่งอย่างลึกซึ้งที่สุด
อ้างอิง
Descola, P. (2013). Beyond Nature and Culture.
Ingold, T. (2000). The Perception of the Environment.
Kimmerer, R. W. (2013). Braiding Sweetgrass.
Escobar, A. (2008). Territories of Difference.
Latour, B. (2004). Politics of Nature.
Viveiros de Castro, E. (2004). Perspectival Anthropology.
Plumwood, V. (1993). Feminism and the Mastery of Nature.
Walter Mignolo, (2011). The Darker Side of Western Modernity.
Boaventura de Sousa Santos (2016). Epistemologies of the South.