THAI CLIMATE JUSTICE for All

อากาศไม่ใช่แค่คาร์บอน: การเปลี่ยนภูมิอากาศจากวิทยาศาสตร์สู่ความเป็นธรรม

ประมวลจากปาฐกถา ดร.ชยา วรรธนะภูติ ในหัวข้อ “อากาศ สังคมและวิทยาศาสตร์: 3 ทศวรรษของการศึกษามิติทางสังคมของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ในงานประชุมวิชาการประจำปีมานุษยวิทยา “พหุปฏิสัมพันธ์: มนุษย์กับสิ่งไม่ใช่มนุษย์” วันที่ 8 กรกฎาคม 2561 จัดโดย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

“เราไม่ต้องเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ แต่เราต้องเปลี่ยนระบบ”

กราฟฟิตี้บนรถไฟในเบลเยียม

บทนำ: จากอุณหภูมิสู่คำถามทางสังคม

เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หลายคนอาจนึกถึงตัวเลข 2 องศาเซลเซียส ก๊าซเรือนกระจก หรือเครื่องดูดคาร์บอน แต่การบรรยายในครั้งนี้ชวนเราขยับออกจากกรอบความเข้าใจแบบวิทยาศาสตร์เชิงเทคนิค ไปสู่การสำรวจคำถามที่ลึกและกว้างกว่านั้น ใครเป็นผู้ผลิตความรู้เรื่องภูมิอากาศ ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ อากาศเป็นของใคร

นี่คือบทสำรวจญาณวิทยา การเมือง และความเป็นธรรมที่ซ่อนอยู่ในเรื่อง “อากาศ” ที่ดูเหมือนจะไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่กลับเต็มไปด้วยอำนาจและข้อขัดแย้ง

จาก IPCC ถึงการเมืองของอุณหภูมิ

การจัดการเรื่องโลกร้อนในเวทีโลกเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปี 1992 เมื่อมีการจัดตั้งกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) โดยอิงจากรายงานวิทยาศาสตร์ของ IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ชุด วิทยาศาสตร์ ผลกระทบ การปรับตัว และการลดการปล่อยก๊าซ

กลไกนี้ได้ผลักดันให้โลกกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ไม่ให้โลกร้อนเกิน 2°C ซึ่งกลายเป็นจินตนาการกลางของนโยบายภูมิอากาศสากล แต่คำถามคือ 2 องศานี้หมายถึงอะไรในบริบทของประเทศไทย ในหมู่บ้านที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ หรือในดินแดนที่น้ำทะเลกำลังจะกลืน

STS วิทยาศาสตร์ไม่เป็นกลาง

  • กลุ่มนักวิชาการในสาย Science and Technology Studies (STS) ได้ชี้ว่า การที่เราเข้าใจภูมิอากาศผ่าน “ตัวเลข” และ “โมเดลจำลอง” คือการลดทอนความซับซ้อนของโลกให้เหลือเพียงสูตรคำนวณและเทคโนโลยี
  • Mike Hulme นักภูมิอากาศผู้เขียน Why We Disagree About Climate Change เสนอว่า ปัญหาของภูมิอากาศไม่ได้อยู่ที่ความไม่รู้วิทยาศาสตร์ แต่คือการผูกขาดจินตนาการเพียงชุดเดียว จินตนาการที่มองภูมิอากาศเป็นเพียงเรื่องของคาร์บอนและอุณหภูมิ
  • ผลลัพธ์คือ การกำหนดนโยบายสาธารณะถูกจำกัดให้อยู่ในมือของนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และนักเศรษฐศาสตร์ ขณะที่เสียงของชุมชน คนชายขอบ และผู้ได้รับผลกระทบถูกทำให้เงียบ

IPCC vs IPBES ใครมีสิทธิผลิตความรู้

เพื่อเทียบเคียง เราอาจดูงานของ IPBES (Intergovernmental Science-Policy Platform on Biodiversity and Ecosystem Services) ซึ่งแม้จะอยู่ใต้ UN เช่นเดียวกับ IPCC แต่กลับเปิดรับความรู้จากหมอผี ปราชญ์ชาวบ้าน และนักเล่าเรื่องในท้องถิ่น โดยยอมรับว่าวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ภาษาเดียวของธรรมชาติ

  • IPCC มองภูมิอากาศแบบ “a view from nowhere” จากดาวเทียมหรืออัลกอริทึม
  • แต่ IPBES กลับมองแบบ “a view from everywhere” จากสายตาและประสบการณ์ของผู้คนจริงๆ
  • นักวิชาการบางกลุ่มเสนอให้ IPCC ค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็น “a view from somewhere” เปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้มีส่วนในการกำหนดทิศทางความรู้

อากาศในฐานะผู้มีบทบาท

  • หนังสือ Weather, Climate, Culture และงานของ Tim Ingold เสนอว่า อากาศไม่ใช่เพียงตัวกลางเชิงกายภาพ แต่เป็น “medium of perception” สื่อที่หล่อหลอมอารมณ์ ความรู้สึก และความทรงจำ
  • อากาศคือสิ่งที่เราหายใจ รับรู้แสง เสียง และสัมผัส อากาศจึงเป็นเงื่อนไขของการเติบโต และการดำรงอยู่ร่วมกันในโลก
  • หนังสือ Monsoon as Method ไปไกลกว่านั้น โดยเชิญชวนให้เราคิดว่า มรสุมก็มี agency ของมันเอง มีพลังที่สร้างเมือง ผู้คน แมลงปอ งู เครื่องปั้นดินเผา และวัฒนธรรมของภูมิภาค

Planetary Thinking คิดแบบดาวเคราะห์

  • ในสายธรณีมนุษยศาสตร์ (geohumanities) นักคิดอย่าง Dipesh Chakrabarty, Nigel Clark, และ Bronislaw Szerszynski เสนอว่า เราควรเลิกคิดแบบมนุษย์เป็นศูนย์กลาง แล้วหันมาคิดจากมุมของ “ดาวเคราะห์”
  • Bruno Latour เสนอการเมืองแบบ terrestrial politics ย้อนจริยธรรมกลับสู่โลก
  • “อากาศ” ที่เปลี่ยนแปลงเอง อาจเป็นสัญญาณต่อต้านของดาวเคราะห์ ที่ทนต่ออำนาจมนุษย์ไม่ไหวอีกต่อไป

ความไม่เป็นธรรมเชิงระบบ

  • เมื่อมองลึกไปยังความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ จะพบว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด มักไม่ใช่คนที่ปล่อยคาร์บอนมากที่สุด
  • Kathryn Yusoff เสนอใน A Billion Black Anthropocenes or None ว่าธรณีวิทยากลายเป็นฐานของระบบอาณานิคม ที่ใช้แรงงานทาสขุดเชื้อเพลิงฟอสซิล สร้างโลกสมัยใหม่จากความเจ็บปวดของผู้ที่ไม่เคยถูกรับฟัง
  • Benjamin K. Sovacool วิเคราะห์กว่า 200 โครงการลดคาร์บอน เช่น พลังงานลม แสงอาทิตย์ ฯลฯ พบว่ากลับสร้างการกีดกัน ทรัพยากร และความเหลื่อมล้ำในหลายพื้นที่
  • Kyle Powys Whyte ชาวพื้นเมืองอเมริกาเตือนว่า การพูดเรื่อง “เร่งด่วน” (climate emergency) อาจเป็นข้ออ้างของคนขาวในการควบคุมอำนาจอีกครั้ง โดยละเลยการเยียวยาความสัมพันธ์ที่ถูกทำลายไปแล้ว

เรื่องเล่าอากาศคือการเมือง

Sarah Wright เสนอแนวคิด “aer nullius” เปรียบเทียบกับ terra nullius (ดินแดนไร้เจ้าของ) ว่าอากาศก็ถูกทำให้ไร้ราก ไร้เรื่องเล่า ไร้ผู้ดูแล และเปิดทางให้ถูกควบคุมโดยทุน

Sophie Chao และ Li-On Erel เสนอว่าการเล่าเรื่องภูมิอากาศควรเป็น “การเมือง” และ “จริยธรรม” ที่เปิดพื้นที่ให้ความรู้แบบอื่นมีศักดิ์ศรีเทียบเท่าวิทยาศาสตร์ เช่น ประสาทสัมผัส ตำนาน ความรู้ท้องถิ่น และจินตนาการของชุมชน

เปลี่ยนอากาศ หรือเปลี่ยนระบบ

เมื่อรัฐพูดถึง Net Zero ภายในปี 2050–2065 พร้อมกับแผนแม่บทที่ผูกกับการลงทุนและคาร์บอนเครดิต เราจึงต้องตั้งคำถามว่า

“ใครได้ออกแบบนโยบายนี้”

“ใครถูกทำให้เงียบ”

ภาพกราฟฟิตี้ที่เขียนว่า “Change the system, not the climate” จึงไม่ใช่แค่คำขวัญ หากแต่เป็นการเรียกร้องให้เรา

  • เปลี่ยนระบบความรู้
  • เปลี่ยนระบบอำนาจ
  • เปลี่ยนวิธีคิดจากการควบคุมอากาศ → สู่การฟังอากาศ
  • เปลี่ยนจากการปกครองธรรมชาติ → สู่การอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเป็นธรรม

บทสรุป

อากาศไม่ใช่สิ่งที่ “ไร้ตัวตน” แต่เป็นทั้งผู้กระทำ (agent) ผู้รับรู้ และผู้มีบทบาทต่อชีวิตทุกชีวิต หากเรายังพูดถึงภูมิอากาศในแบบที่ตัดขาดจากวัฒนธรรม ความทรงจำ และความเป็นธรรม เราอาจเข้าใจแค่เศษเสี้ยวของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนอุณหภูมิ แต่คือการเปลี่ยนระบบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับโลก

Scroll to Top