THAI CLIMATE JUSTICE for All

กิจกรรมในค่าย Diamond Camp : ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

“ผมอยากตั้งศูนย์วิจัยพลังงานสะอาด”

“ผมอยากเปิดร้านอาหารที่ลดการบริโภคเนื้อ เป็นร้านอาหารที่เน้นการบริโภคผักครับ”

“หนูรักแฟนค่ะ และหนูกับแฟนชอบปลูกตัดไม้ คิดว่า climate action ของหนู คือการทำโปรเจ็คเล็กๆ ที่พาคู่รัก คู่เดทออกมาปลูกต้นไม้”

ถ้อยคำจากน้องๆ เยาวชน ที่บอกเล่าผ่านกิจกรรมในค่าย Diamond Camp เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม 2568 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เยาวชนเกือบ 400 คนจากหลากหลายจังหวัดในภาคกลาง ตั้งแต่อ่างทอง ชลบุรี สระบุรี ชัยภูมิ ไปจนถึงปราจีนบุรี ได้เข้าร่วมค่าย Diamond Camp ค่ายเตรียมความพร้อมสู่มหาวิทยาลัย ที่มีบางสิ่งบางอย่าง “มากกว่าแค่การสอบเข้าคณะ”

ค่ายที่จัดขึ้นเพื่อเตรียมเรื่องอนาคตทางการศึกษา แต่ค่ายนี้เปิดพื้นที่ให้เด็ก ๆ ได้ตั้งคำถามอีกชุดหนึ่งเกี่ยวกับโลกที่พวกเขากำลังจะเติบโตขึ้นไปอยู่ ว่าด้วยปัญหาสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาต้องเผชิญ มีกิจกรรมสั้น ๆ หนึ่งชั่วโมงที่อบรมโดย “พี่กบ” (กฤษฎา บุญชัย)

พี่กบไม่ได้เริ่มต้นด้วยคำสอน แต่เริ่มจากการชวนให้สำรวจตั้งแต่เรื่องพื้นฐาน อย่างสภาพภูมิอากาศคืออะไร? ใครได้รับผลกระทบ? จนไปถึงความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศคืออะไร? ที่ไม่ได้บรรยายตรงๆ ทั้งหมดแต่เป็นการชี้ให้เห็นผ่านกิจกรรมด้วย

จากคำถามของพี่กบต่อน้องๆ กลายเป็นบทสนทนาที่จับต้องได้ ผ่านกิจกรรมที่ให้เยาวชนได้ลงมือวิเคราะห์ภาพของ “ความเหลื่อมล้ำ” ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

มีน้องๆ ชี้ให้เห็นปัญหาเรื่องสุขภาพ ปากท้อง ที่อยู่อาศัย บางคนพูดถึงอาชญากรรม ความรุนแรง และความไม่ปลอดภัยในชีวิตประจำวันที่ไม่ได้เกิดจาก “ธรรมชาติ” แต่มาจากระบบที่ไม่เป็นธรรม

“คนในฝั่งขวา (ฝั่งภาพที่คุณภาพชีวิตดีกว่า) มีโอกาสมากกว่า ขณะที่ฝั่งซ้าย (ฝั่งภาพที่มีคุณภาพชีวิตที่แย่กว่า) อาจเกิดอาชญากรรมได้มากกว่า แล้วถ้าฝั่งซ้ายอยากข้ามมาฝั่งขวาล่ะคะ? พวกเขามีโอกาสไหม?” (ความคิดเห็นของน้องคนหนึ่งขณะวิเคราะห์ภาพ)

นอกจากนี้ช่วงท้ายของการอบรม มีการชวนเยาวชนออกแบบ Climate Action ในแบบของตัวเองผ่านกิจกรรมชื่อ “Climate Venn Diagram” ที่ให้พวกเขาเชื่อมโยง สิ่งที่ตัวเองรัก สิ่งที่ถนัด และสิ่งที่โลกต้องการผ่านแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม

ผลลัพธ์ไม่ใช่แผนใหญ่ระดับประเทศ แต่เป็น “แนวทางเล็กๆ” ที่มีหัวใจของการลงมือ

มีคนอยากเปิดร้านอาหารที่ลดการบริโภคเนื้อ

มีคนอยากทำเพจสื่อสารเรื่องสิ่งแวดล้อม

มีคนอยากใช้ความรักของตนเอง เป็นแรงบันดาลใจให้คู่รักหันมาปลูกต้นไม้

และมีคนที่อยากตั้งสถาบันวิจัยพลังงานสะอาด เพราะ “อยากเห็นประเทศไทยเดินหน้าด้วยพลังงานสะอาด”

สิ่งที่เห็นชัด คือ เด็กๆ ไม่ได้มอง Climate Change เป็นแค่ “ภัยพิบัติจากธรรมชาติ” แต่พวกเขามองว่ามันคือ “เรื่องของชีวิตประจำวัน” และเป็นเรื่องที่พวกเขาสามารถออกแบบได้เอง

เมื่อเยาวชนไม่ใช่แค่ผู้ได้รับผลกระทบ การอบรมเพียงหนึ่งชั่วโมง อาจไม่ได้เปลี่ยนโลก แต่บางที มันอาจเปลี่ยนวิธีที่เด็กคนหนึ่งมองโลก และมองตัวเองในโลกใบนั้น

เพราะในยุคที่โลกกำลังร้อนขึ้น ความเหลื่อมล้ำกำลังลึกขึ้น และเวลาของเรากำลังหมดลง

เยาวชนไม่ควรถูกมองว่าเป็นแค่ผู้รอรับผลกระทบ แต่ควรถูกฟัง ในฐานะ “ผู้ออกแบบโลกใบใหม่” ด้วยเช่นกัน

วงศธร แก้ววิลัย (วิน) TCJA รายงาน

Scroll to Top