THAI CLIMATE JUSTICE for All

การเมืองของความรู้และสถาบันความรู้ สู่ความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ

จากโลกร้อนสู่สนามอำนาจของความรู้

ในยุคที่โลกเผชิญวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง คำถามสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่า “โลกร้อนหรือไม่” หรือ “เราจะลดคาร์บอนอย่างไร” เท่านั้น แต่รวมถึงคำถามว่า ใครเป็นผู้กำหนดว่าอะไรคือปัญหา อะไรคือทางแก้ และความรู้แบบใดจึงมีคุณค่าพอให้ได้รับการรับฟัง คำถามเหล่านี้เปิดเผย “การเมืองของความรู้” (Politics of Knowledge) ซึ่งไม่ใช่เรื่องของข้อเท็จจริงล้วน ๆ แต่เป็นเรื่องของอำนาจ การจัดลำดับคุณค่า และการควบคุมพื้นที่ทางความคิด

ในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความรู้ที่ได้รับการยอมรับในระดับนโยบายมักเป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งเน้นการวัด ปริมาณ และเทคโนโลยี ขณะที่ความรู้ของชุมชนท้องถิ่น ชนพื้นเมือง หรือกลุ่มชายขอบ มักถูกลดทอนว่าเป็น “ความเชื่อ” หรือ “เรื่องเล่า” ที่ไม่มีน้ำหนักในการกำหนดทิศทางของโลก

1. ความรู้ไม่เป็นกลาง ใครผลิต ใครนิยาม ใครมีสิทธิพูด

“การเมืองของความรู้” คือกระบวนการที่อำนาจเข้ามากำหนดว่า ความรู้อะไรเป็นที่ยอมรับ ใครเป็นผู้พูดได้ และใครถูกทำให้เงียบ นับตั้งแต่วิธีคิดแบบตะวันตกในยุคอาณานิคมจนถึงปัจจุบัน ความรู้ที่มีรูปแบบเป็นวิทยาศาสตร์เชิงเทคนิค มักได้รับสถานะเป็น “ข้อเท็จจริง” ในขณะที่ความรู้แบบอื่นถูกลดทอนอำนาจลง เช่น ภูมิปัญญาท้องถิ่น ความรู้จากประสบการณ์ หรือความสัมพันธ์เชิงจิตวิญญาณกับธรรมชาติ

ในเวทีระดับโลก เช่น IPCC หรือ COP ความรู้ที่ครอบงำคือแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ การวัดคาร์บอน และกรอบคิดเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม ขณะที่เสียงของชนพื้นเมืองหรือชุมชนที่อยู่กับป่า กับทะเล กลับไม่ค่อยได้รับพื้นที่อย่างเท่าเทียม

2. สถาบันความรู้กับการควบคุมการจัดการทรัพยากร

ความรู้ที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการมักกลายเป็นพื้นฐานในการกำหนดนโยบายและการจัดการทรัพยากร เช่น ระบบคาร์บอนเครดิต การจำแนกพื้นที่ป่า หรือโครงการอนุรักษ์แบบบนลงล่าง (top-down conservation) กลไกเหล่านี้มักไม่เปิดพื้นที่ให้กับความรู้ที่แตกต่างหลากหลาย ส่งผลให้ชุมชนที่มีวิถีชีวิตพึ่งพาธรรมชาติถูกลดบทบาท หรือแม้แต่ถูกผลักไสออกจากพื้นที่ดั้งเดิมของตน

ตัวอย่างเช่น โครงการ REDD+ ซึ่งตั้งใจลดการปล่อยก๊าซจากการตัดไม้ทำลายป่า กลับใช้วิธีการวัดปริมาณคาร์บอนจากข้อมูลดาวเทียม โดยละเลยระบบความสัมพันธ์ที่ชุมชนมีต่อผืนป่า ซึ่งไม่อาจแปลงเป็นตัวเลขได้ทั้งหมด

3. การท้าทายอำนาจความรู้ เสียงใหม่กำลังลุกขึ้นพูด

ความไม่เป็นธรรมทางความรู้ได้นำไปสู่การลุกขึ้นของขบวนการที่เรียกร้อง “สิทธิในการรู้ และสิทธิในการถูกฟัง” ทั้งในแวดวงวิชาการ ขบวนการสังคม และชุมชนพื้นถิ่น นักคิดอย่าง Arturo Escobar เสนอให้เรากลับมามองความรู้ในฐานะที่ฝังอยู่ในความสัมพันธ์ ไม่ใช่เพียงข้อมูลที่อยู่แยกจากชีวิต เขาเรียกร้องให้เกิดการออกแบบโลก (world-making) แบบใหม่ที่เปิดพื้นที่ให้กับโลกทัศน์ที่หลากหลาย

การจัดเวที COP ของภาคประชาชน (People’s Summit), การเคลื่อนไหว Indigenous Climate Justice, และการทำวิจัยแบบมีส่วนร่วมในชุมชนทั่วโลก คือรูปธรรมของการ reclaim พื้นที่ความรู้ที่เคยถูกกดทับ

4. ตัวอย่างรูปธรรมของการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นธรรมด้านความรู้

  • 4.1 IPBES และแนวทาง Multiple Evidence Base IPBES พยายามผสานความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับความรู้ท้องถิ่นและความรู้ของชนพื้นเมืองอย่างเท่าเทียม ผ่านแนวทาง “Multiple Evidence Base” ที่ไม่บังคับให้ความรู้ท้องถิ่นต้องแปลงร่างเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ยอมรับในคุณค่าของมันในตัวเอง นี่คือความพยายามในการออกแบบกลไกเชิงนโยบายที่เปิดพื้นที่ให้ความรู้ที่หลากหลาย
  • 4.2 โบลิเวียกับแนวคิด Buen Vivir ในโบลิเวีย แนวคิด Buen Vivir ซึ่งมีรากจากวัฒนธรรม Andean ดั้งเดิม ได้กลายเป็นกรอบแนวคิดของรัฐธรรมนูญปี 2009 และถูกนำมาใช้ในการออกแบบนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม โดยยอมรับ “สิทธิของธรรมชาติ” และมองโลกเป็นสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่แค่ทรัพยากร นี่คือการยกระดับวิธีคิดชนพื้นเมืองสู่ระดับรัฐชาติ
  • 4.3 ขบวนการ Decolonising the Curriculum ในแอฟริกาใต้ ขบวนการนักศึกษาในแอฟริกาใต้ เช่น “Rhodes Must Fall” และ “Fees Must Fall” ได้ผลักดันให้มหาวิทยาลัยต้องทบทวนหลักสูตรที่เน้นความรู้จากโลกตะวันตก และเปิดพื้นที่ให้ความรู้ของแอฟริกันดั้งเดิมมีบทบาทมากขึ้นในการจัดการศึกษา รวมถึงด้านสิ่งแวดล้อม
  • 4.4 การทำแผนที่วัฒนธรรมในชุมชนชาติพันธุ์ไทย ในประเทศไทย หลายชุมชนชาติพันธุ์ได้ริเริ่มกระบวนการทำ “แผนที่เชิงวัฒนธรรม” ที่รวมความรู้ด้านจิตวิญญาณ ความเชื่อ และประวัติศาสตร์ของชุมชนลงในแผนที่ ซึ่งไม่ใช่เพียงการแสดงขอบเขตพื้นที่ แต่คือการ reclaim สิทธิในการกำหนดคุณค่าและการดูแลโลกของตนเอง

5. เชื่อมโยงตัวอย่างสู่ภาพรวม โลกทัศน์ใหม่กำลังเกิดขึ้น

แม้ตัวอย่างทั้งจากเวทีโลก รัฐระดับชาติ มหาวิทยาลัย หรือชุมชน จะดูหลากหลาย แต่ล้วนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ การท้าทายการผูกขาดความรู้ และการสร้าง “พื้นที่ร่วม” สำหรับความรู้ที่มีชีวิต มีรากวัฒนธรรม และความสัมพันธ์กับโลกจริง ซึ่งไม่สามารถจำกัดอยู่ในห้องทดลองหรือแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์

ความรู้คือสนามการเมือง และการเมืองใหม่ต้องรับฟังโลกที่หลากหลาย

หากเรามุ่งสู่ความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศโดยไม่ตั้งคำถามต่ออำนาจความรู้ เราก็อาจเพียงปรับโครงสร้างโดยยังรักษาระบบคิดเดิมไว้ ความเป็นธรรมที่แท้จริงจึงเริ่มต้นจากการ เปิดพื้นที่ให้กับความรู้ที่เคยถูกทำให้เงียบ ให้กลับมามีเสียง มีพลัง และมีสิทธิในเวทีตัดสินใจ

เมื่อเรากลับมาฟังเสียงของต้นไม้ ดิน น้ำ ผู้เฒ่า และชาวบ้าน เราไม่ได้แค่เปลี่ยนวิธีคิดเรื่องโลกร้อน เรากำลังเปลี่ยนโลกให้กลับมามีความหมายร่วมกันอีกครั้ง


อ้างอิง

Escobar, A. (2018). Designs for the Pluriverse: Radical Interdependence, Autonomy, and the Making of Worlds. Duke University Press.

Gudynas, E. (2011). Buen Vivir: Today’s Tomorrow. Development, 54(4), 441–447. https://doi.org/10.1057/dev.2011.86

Hulme, M. (2009). Why We Disagree About Climate Change: Understanding Controversy, Inaction and Opportunity. Cambridge University Press.

IPBES (2019). Global Assessment Report on Biodiversity and Ecosystem Services. https://ipbes.net/global-assessment

Le Grange, L. (2016). Decolonising the university curriculum. South African Journal of Higher Education, 30(2), 1–12.

Tengö, M., Hill, R., Malmer, P., et al. (2014). Connecting diverse knowledge systems for enhanced ecosystem governance: The multiple evidence base approach. Ambio, 43(5), 579–591. https://doi.org/10.1007/s13280-014-0501-3

Scroll to Top