
เรียบเรียงจากรายงานของ The Guardian | 25 กรกฎาคม 2025
✦ เสียงเล็ก ๆ ที่เขย่าศาลโลก
วันที่ 24 กรกฎาคม 2025 คือจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์กฎหมายระหว่างประเทศ เมื่อ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice – ICJ) ที่กรุงเฮก ได้ออกคำวินิจฉัยที่ปรึกษา (Advisory Opinion) ว่า ประเทศต่าง ๆ มีพันธกรณีทางกฎหมายที่ชัดเจนในการปกป้องระบบภูมิอากาศของโลก
นี่คือครั้งแรกที่สถาบันตุลาการระหว่างประเทศสูงสุดยอมรับว่า การละเลยต่อปัญหาโลกร้อนอาจเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และรัฐผู้ปล่อยคาร์บอนอาจต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประเทศและประชาชนที่เปราะบาง
แต่จุดเริ่มต้นของชัยชนะครั้งนี้ไม่ใช่จากมหาอำนาจใด ๆ หากเริ่มต้นจากกลุ่มเยาวชนจากประเทศเล็ก ๆ ในหมู่เกาะแปซิฟิก ที่ลุกขึ้นตั้งคำถามถึงความยุติธรรมในโลกที่ไม่เท่าเทียม
✦ จุดเริ่มต้นจากชายฝั่งวานูอาตู แผนการของเยาวชนที่กลายเป็นประวัติศาสตร์
ในปี 2019 กลุ่มนักศึกษากฎหมายจากหมู่เกาะแปซิฟิกได้ก่อตั้งองค์กร Pacific Islands Students Fighting Climate Change (PISFCC) ด้วยความมุ่งมั่นที่จะผลักประเด็นโลกร้อนเข้าสู่พื้นที่กฎหมายระหว่างประเทศ โดยพวกเขาเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่โลกต้องตระหนักว่า การไม่ลงมือจัดการโลกร้อนคือการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน
ประเทศวานูอาตู ประเทศที่มีประชากรราว 300,000 คน และถูกจัดอันดับว่าเป็นประเทศที่เปราะบางที่สุดต่อภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ตอบรับข้อเสนอของเยาวชน และนำเรื่องนี้สู่การพิจารณาของ ICJ
สิ่งที่เคยถูกมองว่าเป็นความฝันของเยาวชนเล็ก ๆ ในประเทศชายขอบ กลายเป็นกรณีศึกษาแห่งความกล้าหาญและการเปลี่ยนโครงสร้าง

✦ เสียงจากแปซิฟิกในห้องพิจารณาคดี
ซินเธีย ฮูนิอูฮี (Cynthia Houniuhi) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง PISFCC กล่าวทั้งน้ำตาในห้องพิจารณา ICJ ที่กรุงเฮกว่า
“ฉันตั้งใจฟังทุกถ้อยคำจากผู้พิพากษา ทีละคำ ทีละวรรค… เมื่อศาลกล่าวว่าพันธกรณีของรัฐไม่จำกัดแค่ข้อตกลงปารีส แต่รวมถึงกฎหมายสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนด้วย ฉันก็ร้องไห้ตรงนั้นเลย”
คำวินิจฉัยชี้ชัดว่า
- รัฐมีหน้าที่ทางกฎหมายในการ ป้องกันและลดผลกระทบจากกิจกรรมที่ทำลายภูมิอากาศ
- กิจกรรมเหล่านี้รวมถึงการผลิต ใช้ และสนับสนุน เชื้อเพลิงฟอสซิล
- หากรัฐละเลย อาจต้อง ชดใช้ความเสียหาย และ ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ
✦ ผลสะเทือนระดับโลก คำวินิจฉัยที่ “เขย่าระเบียบโลกเชิงภูมิอากาศ”
กรณีตัวอย่าง ประเทศอุตสาหกรรมภายใต้แรงกดดัน เช่น ออสเตรเลียที่ถูกจับตามองว่าการสนับสนุนอุตสาหกรรมถ่านหินอาจละเมิดพันธกรณีต่อสิทธิในสิ่งแวดล้อมของผู้อื่น และอาจเปิดช่องฟ้องร้องในอนาคต
ดึงประเด็น “Loss and Damage” เข้าสู่กฎหมาย คำวินิจฉัยของ ICJ เสริมความชอบธรรมให้กับ กลไกเยียวยาความสูญเสียและความเสียหาย (Loss and Damage) ที่ประเทศกำลังพัฒนาเรียกร้องมานาน แต่มักถูกเลี่ยงโดยประเทศร่ำรวย
ส่งผลต่อกระบวนการเจรจา COP30 และศาลภายในประเทศ คำวินิจฉัยนี้อาจกลายเป็น “แม่แบบ” สำหรับศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลสิ่งแวดล้อมของประเทศต่าง ๆ ในการตัดสินคดีโลกร้อน โดยอิงจากกฎหมายระหว่างประเทศ
✦ Climate Justice เมื่อสิทธิและภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องแยกกัน
- ชัยชนะครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของ “สภาพภูมิอากาศ” แต่คือ การยืนยันว่าโลกร้อนคือปัญหาของความยุติธรรม ซึ่งเป็นแก่นของแนวคิด Climate Justice ที่ชี้ว่า
- ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดกลับเป็นผู้ที่มีส่วนในการก่อวิกฤตน้อยที่สุด
- โครงสร้างการผลิตและบริโภคของประเทศร่ำรวย คือรากของปัญหา
- การละเลยหรือเพิกเฉยของรัฐต่อการลดคาร์บอน อาจเทียบได้กับการละเมิดสิทธิในชีวิต สุขภาพ และวัฒนธรรมของคนชายขอบ
“คำวินิจฉัยนี้คือ ‘กระดูกสันหลังทางกฎหมาย’ ของการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม”
รูฟิโน วาเรีย, ผู้อำนวยการ Pacific Climate Network
✦ ไม่ใช่ไม่มีเสียงค้าน ข้อจำกัดของกฎหมายระหว่างประเทศ
- แม้จะเป็นชัยชนะครั้งสำคัญ แต่บทความนี้ยังควรชี้ให้เห็นข้อถกเถียง
- คำวินิจฉัยของ ICJ ไม่ผูกพันตามกฎหมาย (non-binding) จึงขึ้นกับความสมัครใจของรัฐว่าจะปฏิบัติตามหรือไม่
- บางประเทศอาจโต้แย้งว่า “การพัฒนาเศรษฐกิจ” คือสิทธิอธิปไตย ไม่ควรถูกตีความเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น
- ความท้าทายอยู่ที่ การนำคำวินิจฉัยไปเปลี่ยนกฎหมายภายใน หรือใช้เป็นหลักฐานในคดีฟ้องร้องจริง
- อย่างไรก็ตาม จุดแข็งของคำวินิจฉัยนี้ไม่ได้อยู่ที่ “อำนาจบังคับ” แต่อยู่ที่ “อำนาจทางคุณค่าและจริยธรรม”
✦ เด็ก ๆ บนโต๊ะประชุม ความหวังข้ามรุ่น
ดร. โครัล ปาซิซี จากชุมชนแปซิฟิกเล่าว่า ลูกชายวัย 10 ขวบของเธอกล่าวก่อนออกเดินทางว่า
“แม่ทำเรื่องนี้มาตั้ง 30 ปีแล้ว แต่ผู้ใหญ่ก็ยังไม่ฟัง บางทีแม่ควรพาเด็ก ๆ ไปโต๊ะประชุมด้วย”
คำวินิจฉัยของ ICJ คือการยอมรับว่า ความยุติธรรมด้านภูมิอากาศต้องเป็นการพูดคุยระหว่างรุ่น ไม่ใช่แค่รุ่นหนึ่งตัดสินแทนคนทั้งโลก
✦ คำวินิจฉัยนี้เป็นของใคร
ซินเธีย ฮูนิอูฮี ปิดท้ายด้วยถ้อยคำที่กินใจว่า
“นี่คือชัยชนะที่เยาวชนแปซิฟิกสร้างขึ้น แต่เป็นของทุกคนบนโลก เราผลักให้ศาลสูงสุดของโลกฟัง และเขาก็ฟัง ตอนนี้เราต้องเปลี่ยนจากถ้อยคำทางกฎหมาย สู่การเปลี่ยนแปลงที่มีชีวิตจริง”
แล้วเราล่ะ จะฟังไหม
ในวันที่คำวินิจฉัยของศาลโลกยอมรับว่า “สภาพภูมิอากาศที่ดีคือสิทธิมนุษยชน”
คำถามกลับมาที่เราทุกคนคือ
- ✧ เราจะยอมให้คำวินิจฉัยนี้ถูกวางไว้บนหิ้งเฉย ๆ หรือไม่
- ✧ เราจะฟังเสียงของเยาวชนที่ลุกขึ้นพูดเพราะโลกใบนี้กำลังร้อนเกินจะอยู่ต่อหรือไม่
บางที การเปลี่ยนแปลงอาจเริ่มต้นจากการรับฟังอย่างแท้จริง