THAI CLIMATE JUSTICE for All

Andreas Malm ทุนฟอสซิลกับการต่อสู้เชิงรากฐานของวิกฤตภูมิอากาศ

Andreas Malm เป็นนักประวัติศาสตร์สิ่งแวดล้อมและนักทฤษฎีเชิงมาร์กซิสต์ชาวสวีเดน ปัจจุบันเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย Lund เขาได้รับการยอมรับอย่างสูงจากงานวิชาการที่เจาะลึกถึงต้นกำเนิดของวิกฤตโลกร้อนและความสัมพันธ์เชิงอำนาจของทุน โดยเฉพาะในหนังสือ Fossil Capital: The Rise of Steam Power and the Roots of Global Warming (2016) ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในงานคลาสสิกด้านประวัติศาสตร์สิ่งแวดล้อมและมาร์กซิสต์ร่วมสมัย ต่อมาเขายังเขียนงานที่ท้าทายการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม เช่น How to Blow Up a Pipeline (2021) ที่จุดกระแสถกเถียงระดับโลกถึงบทบาทของการปฏิบัติการตรง (direct action) ในการต่อสู้กับทุนฟอสซิล

ทุนฟอสซิลและกำเนิดโลกร้อน

สิ่งที่ทำให้ Fossil Capital เป็นงานสำคัญคือการชี้ว่า การเลือกใช้ถ่านหินในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมไม่ได้เป็นไปเพราะเหตุผลทางเทคโนโลยีหรือประสิทธิภาพอย่างที่มักเข้าใจกัน หากแต่เป็นการเลือกเชิงการเมืองของชนชั้นนายทุนในอังกฤษ การใช้พลังงานน้ำ (hydropower) ในโรงงานสิ่งทอมีข้อจำกัดที่สำคัญคือแรงงานควบคุมได้ยาก เนื่องจากโรงงานต้องตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ทำให้แรงงานยังพึ่งพาชุมชนรอบข้าง แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้ถ่านหินและเครื่องจักรไอน้ำ โรงงานสามารถย้ายเข้าเมืองอุตสาหกรรมที่แรงงานถูกควบคุมได้ง่ายขึ้น นี่คือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่มัลม์เรียกว่า “ทุนฟอสซิล” (fossil capital)

ความหมายของการค้นพบนี้คือ วิกฤตโลกร้อนไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ “ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของมนุษยชาติ” โดยทั่วไป หากแต่เกิดจากการตัดสินใจของทุนเพื่อควบคุมแรงงานและสะสมกำไร ดังนั้น โลกร้อนจึงไม่ใช่ผลลัพธ์ของมนุษย์ในภาพรวม แต่เป็นผลโดยตรงจากโครงสร้างอำนาจของทุนนิยมฟอสซิล

ทุนนิยมกับโครงสร้างพลังงาน

มัลม์เน้นว่าทุนนิยมและพลังงานฟอสซิลมีความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างที่แนบแน่นจนแยกไม่ออก พลังงานฟอสซิลทำให้ทุนสามารถสะสมได้ในสเกลมหาศาล ควบคุมแรงงาน และสร้างอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ หากต้องการแก้ปัญหาโลกร้อน จึงไม่อาจทำได้โดยเพียงการ “แทนที่” พลังงานฟอสซิลด้วยพลังงานหมุนเวียน แต่ต้องเผชิญหน้ากับโครงสร้างทุนที่ผูกพันอยู่กับมัน

ในประเด็นนี้ มัลม์ใกล้เคียงกับ Jason Moore ที่ชี้ว่าโลกร้อนคือผลผลิตของทุนนิยม แต่ต่างกันตรงที่มัลม์ขุดลงไปในประวัติศาสตร์เชิงรูปธรรมเพื่อแสดงให้เห็น “จุดเริ่มต้น” ของการผูกขาดพลังงานฟอสซิล และใช้มุมมองมาร์กซิสต์เพื่ออธิบายการสะสมทุน

การปฏิบัติการตรงและการเมืองของความรุนแรง

ใน How to Blow Up a Pipeline (2021) มัลม์เสนอว่าการเคลื่อนไหวด้านสภาพภูมิอากาศที่เน้นการเดินขบวนอย่างสันติ แม้จะมีคุณค่า แต่ไม่เพียงพอต่อการหยุดทุนฟอสซิล เขาตั้งคำถามว่า เหตุใดขบวนการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมจึงละทิ้งเครื่องมือการต่อสู้ที่ขบวนการสิทธิพลเมืองและขบวนการแรงงานเคยใช้มาก่อน เช่น การทำลายโครงสร้างพื้นฐานของทุนเพื่อหยุดการสะสมกำไร

มัลม์ไม่ได้เรียกร้องให้ใช้ความรุนแรงต่อผู้คน แต่เขาชี้ว่าการโจมตีเชิงสัญลักษณ์หรือการทำลายทรัพย์สิน เช่น ท่อส่งน้ำมัน โรงกลั่น หรือโครงสร้างพื้นฐานฟอสซิล อาจเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อทำให้ทุนไม่สามารถดำเนินต่อได้ นี่คือการเรียกร้องที่ทำให้เขากลายเป็นนักคิดที่ทั้งทรงอิทธิพลและเป็นที่ถกเถียงที่สุดในแวดวง Climate Justice

ความท้าทายและคำถามที่มัลม์ทิ้งไว้

ทฤษฎีของมัลม์สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ เพราะมันทำให้เราเห็นรากทางประวัติศาสตร์และการเมืองของวิกฤตโลกร้อนอย่างเฉียบคม แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ทิ้งคำถามไว้ว่า การปฏิบัติการตรงในโลกปัจจุบันที่รัฐและบรรษัทมีอำนาจมหาศาลจะมีความเป็นไปได้เพียงใด และจะทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวถูกตีตราว่าเป็นภัยความมั่นคงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มัลม์ย้ำคือ หากเรายังเดินตามแนวทางปกติ วิกฤตสภาพภูมิอากาศจะเดินหน้าไปสู่หายนะที่เลวร้ายกว่า

Andreas Malm แสดงให้เห็นว่าโลกร้อนไม่ใช่ผลผลิตของเทคโนโลยีที่เป็นกลาง แต่เป็นผลลัพธ์ของการตัดสินใจเชิงอำนาจของทุนในประวัติศาสตร์ เขายืนยันว่าพลังงานฟอสซิลคือหัวใจของการสะสมทุน และการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศจึงต้องเป็นการต่อสู้เชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เพียงการปรับเปลี่ยนพลังงาน สำหรับมัลม์ การเคลื่อนไหวด้านสภาพภูมิอากาศต้องก้าวข้ามการประท้วงเชิงสัญลักษณ์ และพร้อมเผชิญหน้ากับทุนฟอสซิลอย่างถึงราก หากเรายังหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมา โลกจะยังคงเดินหน้าเข้าสู่วิกฤตที่ลึกยิ่งขึ้น


อ้างอิง

Malm, A. (2016). Fossil Capital: The Rise of Steam Power and the Roots of Global Warming. Verso.

Malm, A. (2021). How to Blow Up a Pipeline. Verso.

Malm, A. (2020). Corona, Climate, Chronic Emergency: War Communism in the Twenty-First Century. Verso.

Scroll to Top