เขียนโดย Pradip Swarnakar
แห่ง Oxford Scholarship Online
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
ภาพประกอบโดย The Independence
![](http://www.thaiclimatejusticeforall.com/wp-content/uploads/2021/06/134103.jpg)
พลังของเครือข่ายและการเจรจาต่อรอง
ในขอบเขตเรื่องโลกร้อนของประเทศอินเดียนั้น ตัวแทนจาก NGO มักเป็นผู้ที่ริเริ่มในการสร้างเครือข่าย ตัวอย่างเช่น เครือข่าย Climate Action Network South Asia (CANSA) ตั้งขึ้นในปี 1991 โดยกลุ่ม NGO ภาคตะวันตกเฉียงใต้และนักวิทยาศาสตร์ที่กังวลกับผลกระทบที่จะมีต่อกลุ่มผู้ยากไร้และกลุ่มเปราะบางทางสังคม ต่อมาในปี 2018 CANSA และ องค์กรสมาชิก 160 องค์กรจาก 8 ประเทศได้รับโอกาสในกาทำงานในประเด็นระดับชาติและระดับภูมิภาค จากความเป็นสมาชิกภาพในระดับนานาชาติทำให้ NGO ของ CANSAสามารถสร้างความสัมพันธ์กับ NGO อื่นๆในอินเดียและประเทศในเอเชียใต้ที่มีเป้าหมายที่คล้ายคลึงกัน เครือข่ายนี้ทำงานใกล้ชิดกับรัฐบาลและทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่าง NGO และรัฐบาล ตัวอย่างเช่น ก่อนการประชุม COP 21 ที่กรุงปารีส CANSA ตระหนักดีถึงความต้องการของประเทศอินเดียที่จะมีสิทธิในการพัฒนาเศรษฐกิจและเน้นย้ำถึงความพยายามของรัฐบาลที่จะหาทางออกโดยการใช้พลังงานทางเลือก รายงานของ CANSA ระบุว่า :
เป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอินเดียนั้นค่อนข้างสูง …………รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีโมดีก็สร้างความคืบหน้าในเรื่องพลังงานทางเลือก โดยการให้คำมั่นว่าจะสร้างสมาร์ทซิตี้และหมู่บ้านตัวอย่างเพื่อพัฒนาระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับทุกคน…………รัฐบาลมองว่าการพัฒนาจะต้องมาก่อนการลงทุนในเรื่องแก้ปัญหาโลกร้อน……………เรามั่นใจว่าเมื่อหันไปใช้พลังงานทางเลือก เศรษฐกิจของอินเดียจะยังสามารถโตตามเป้าหมายที่วางไว้ได้
เครือข่ายที่สำคัญในเรื่องแก้ไขปัญหาโลกร้อนอีกเครือข่ายหนึ่งได้แก่ Climate Justice Now! (CJN!) ซึ่งเป็นเครือข่าย NGO ที่รณรงค์เรื่อง Climate Justice ที่ตั้งขึ้น ณ การประชุม UNFCCC ที่บาหลีในปี 2007 ซึ่งต่อมาทำให้กลุ่ม NGO มีบทบาทมากขึ้นในการประชุม UNFCCC ณ กรุงโคเปนฮาเกนและกรุงแคนคูน ในปี 2007 CJN! ได้ยืนยันหลักการด้านการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศที่สำคัญ 4 หลักการได้แก่
(1) ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจควรรับผิดชอบลดปริมาณกาซเรือนกระจกและสนับสนุนทุนให้แก่การนำเอาพลังงานทางเลือกมาใช้
(2) ควรจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติอย่างเท่าเทียมกัน
(3) ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มควรมีบทบาทในการตัดสินใจร่วมกัน และ (4) ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนมากที่สุดควรได้รับการชดเชย
เป้าหมายในการดำเนินงานของเครือข่าย CANSA และ CJN! นั้นแตกต่างกัน และ NGO ในอินเดียสามารถเลือกเป็นสมาชิกของเครือข่ายที่ให้ประโยชน์แก่ตนได้ สมมติว่าถ้า NGO หนึ่งทำงานด้าน Climate Sustainability หรือ Climate Justice ในระดับนานาชาติ NGO นั้นจะได้รับโอกาสมากจากการเป็นสมาชิกของ CANSA หรือถ้ามี NGO หัวก้าวหน้าที่มีผลประโยชน์ขัดแย้งกับรัฐบาล ซึ่งสนับสนุนด้าน Climate Justice ในประเทศหรือการรณรงค์ลดการใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน NGO นั้นก็ควรเข้าเป็นสมาชิกเครือข่าย CJN! ที่จะให้การสนับสนุนด้านข้อมูลและทุน ความแตกต่างระหว่างสองกลุ่มนี้ชัดเจน คือ แนวทางการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศยุคที่หนึ่งที่เน้นการปฏิรูป (CAN) หรือแนวทางการแก้ปัญหายุคที่สองที่ต่อต้านทุนนิยมและระบบ (CJN!) นอกเหนือจากการเป็นสมาชิกเครือข่ายเพื่อสังคมในระดับนานาชาติแล้ว NGO ยังสามารถแสดงผลงานของตนได้ในกิจกรรมย่อยของการเจรจาปัญหาโลกร้อนในการประชุม COP
เป็นที่ทราบกันดีว่า NGO มีบทบาทสำคัญในการริเริ่มแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม จากจุดเริ่มต้นที่ “ชุมชนมีบทบาทที่สำคัญในการประชุมสุดยอดทางสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (COP) เมื่อถึงปี 2009 มี NGO กว่า 51% หรือประมาณ 1,300 องค์กรถือกำเนิดจากชุมชนท้องถิ่น ในการประชุม COP 21 ณ กรุงปารีส กว่า 2,000 องค์กรที่เข้าร่วมสังเกตการณ์ได้รับการยอมรับเข้าเป็นสมาชิก ในการประเมินโอกาสในเครือข่ายระดับนานาชาตินั้น NGO สัญชาติอินเดียได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดประจำปี COP อยู่เป็นประจำ ในการประเมินการมีส่วนร่วมของ NGO สัญชาติอินเดียในการทำกิจกรรมย่อยในการประชุม COP นั้น พบว่ามีองค์กรที่รวมตัวเป็นกลุ่มเล็กๆแยกตัวออกมาจากกลุ่มใหญ่ที่มีอิทธิพลสูง เพื่อพิจารณาปัญหาสิ่งแวดล้อมจากมุมมองของชุมชนระดับรากหญ้า นอกจากนี้ยังพบว่าองค์กรด้านความเป็นธรรมสิ่งแวดล้อมอย่างเช่น Centre for Community Economics and Development Consultants Society และ Public Advocacy Initiatives for Rights and Values ในอินเดียยังได้สร้างภาคีเครือข่ายกับองค์กรอื่นๆในประเทศ จากประเทศในเอเชียใต้ และประเทศพัฒนาแล้วอีกด้วย อย่างไรก็ตาม NGO อย่าง TERI ที่ทำงานทั้งทางด้าน Climate Sustainability และ Climate Justice ในระดับนานาชาติได้ริเริ่มความร่วมมือกับองค์กรด้านการวิจัยและสนับสนุนทุนในการดำเนินการของประเทศที่พัฒนาแล้ว
ประเทศอินเดียมีประวัตศาสตร์ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างไม่ละทิ้งความสำคัญของปากท้องของชุมชนส่วนน้อยหรือเรียกว่าแนวทาง ‘สิ่งแวดล้อมสำหรับคนยาก’ ในช่วงที่มีการรณรงค์เพื่อความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อมที่ดังมากเช่น Narmada และ Chipko ซึ่งให้ความสำคัญกับผลกระทบของนโยบายรัฐที่มีต่อชุมชนท้องถิ่นนั้น Climate Justice ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา มี NGO เป็นจำนวนมากที่ลดความสำคัญด้านคุณภาพชีวิตชุมชนลงและหันไปแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง การรณรงค์เรื่อง Climate Justice ในอินเดียเกิดจากแนวทางสิ่งแวดล้อมสำหรับคนยากแบบดั้งเดิมกับแบบ crowding-in หลังปี 2007 อย่างไรก็ตามทั้งสองแนวทางยังไม่ประสบความสำเร็จในการกำหนดมาตรการ Climate Justice ที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ถ้าเราดูจากการดำเนินการตามนโยบายแก้ปัญหาภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมา เราจะเห็นว่ารัฐบาลได้นำเอาแนวคิดด้าน Climate Justice มาใช้ในการกำหนดนโยบายและการเจรจาระหว่างประเทศแล้ว อย่างไรก็ตาม การจะรวมเอากิจกรรมของ NGO เข้ากับนโยบายดังกล่าวเป็นเรื่องยาก เนื่องจากสังคมอินเดียมักมีข้อพิพาทกับรัฐอยู่เสมอ ประการสุดท้าย NGO ในประเทศอินเดียที่มุ่งเน้นเรื่องความ Climate Justice ภายในประเทศมักถูกผูกมัดอยู่กับประเด็นปัญหาในประเทศและขาดการเชื่อมโยงปัญหาเข้ากับประเด็นเรื่องโลกร้อนในระดับนานาชาติ ความสำเร็จของการรณรงค์ในการแก้ปัญหาภูมิอากาศในอนาคตของอินเดียขึ้นอยู่กับการนำเอาแนวนโยบายด้าน Climate Justice ของรัฐบาลมาปฏิบัติ เราคงต้องคอยดูกันต่อไปว่า NGO ในอินเดียจะประสบความสำเร็จในเรื่องนี้โดยใช้เครือข่ายระหว่างประเทศหรือสร้างอำนาจต่อรองในประเทศ
– จบ –
อ้างอิง https://oxford.universitypressscholarship.com/view/10.1093/oso/9780199498734.001.0001/oso-9780199498734-chapter-15