THAI CLIMATE JUSTICE for All

โครงการตัวโชว์ของผู้จำหน่ายคาร์บอนเครดิตรายใหญ่ของโลกแท้จริงแล้วปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าเดิม (ตอนที่ 4)

เขียนโดย BART CREZEE และ TIES GIJZEL
วันที่ 27 มกราคม 2023
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
ภาพประกอบโดย South Pole
อ้างอิง https://www.ftm.eu/…/south-pole-kariba-carbon-emission…

(ต่อจากวันเสาร์ที่แล้ว)

ป่าไม้กลายเป็นเครื่องพิมพ์เงิน

ปัญหาของโครงการ Kariba มิได้มีเพียงแค่การประเมินมูลค่าคาร์บอนเครดิตที่สูงเกินจริงเท่านั้น South Pole ยังอ้างว่าร้อยละ 75 ของรายรับโครงการกลับคืนสู่ CGI ใช้เป็นค่าใช้จ่ายของโครงการ และให้แก่ชุมชนท้องถิ่น ที่เหลืออีก 25 หักไว้เป็นกำไร แต่ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยการใช้กลเม็ดทางบัญชี South Pole สามารถชักกำไรไว้มากกว่าร้อยละ 40 กล่าวคือ South Pole จะไม่อนุญาตให้ลูกค้าซื้อเครดิตโดยตรงจาก CGI แต่ South Pole จะเป็นผู้ซื้อเครดิตจาก CGI เองในราคาที่ต่ำมากหรือประมาณครึ่งยูโรและเก็บไว้เพื่อนำมาขายต่อเมื่อราคาตลาดพุ่งสูงขึ้นในอีกสองสามปีต่อมาถึงกว่า 20 ยูโรโดยที่ทาง CGI หรือชุมชนมิอาจล่วงรู้ถึงรายได้ส่วนต่างพิเศษมูลค่ามหาศาลนี้ได้เลย

ในที่ South Pole โปรโมทตนเองว่าได้ช่วยให้ชุมชนในประเทศกำลังพัฒนา ‘ที่ไม่มีส่วนต้องรับผิดชอบกับภาวะโลกร้อนได้ประโยชน์จากโครงการนี้เช่นเดียวกัน’ South Pole ก็ทำเงินได้ถึง 18 ล้านยูโรจากการรีเซลเครดิต ซึ่งเงินจำนวนนี้ก็มิได้ตกถึงชุมชนแต่อย่างใด บริษัทได้เงินจำนวนนี้ในปี 2022 ซึ่งถ้าหากไม่มีกำไรส่วนนี้แล้ว Operating Profit ของบริษัทมีเพียง 11 ล้านยูโร ซึ่งจะทำให้บริษัทขาดทุนดำเนินการในปีถัดไป

แน่นอนว่า South Pole ให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่าบริษัทซื้อเครดิตในวอลุ่มที่สูงมากในปีแรกๆของโครงการก็เพื่อสนับสนุนทุนให้โครงการดำเนินต่อไปได้ในช่วงธุรกิจซบเซา (2015-2019) และผลกำไรที่ได้มานั้นเป็นเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ซึ่งจะนำมาใช้ในการเพิ่มทุนให้แก่บริษัทซึ่งกำลังเติบโตต่อไป

ข้อที่น่าสงสัยเกี่ยวกับบริษัทพันธมิตร CGI

คำถามต่อมาคือ เงินที่ South Pole จ่ายเป็นค่าเครดิตให้แก่คู่ค้าของตนคือ CGI นั้นถึงมือชุมชนหรือไม่ อย่างไร ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนในที่ประชุม สไลด์ของนาย Dannecker แสดงว่า ‘ในวันที่ 9 กรกฎาคม ปี 2022 เราพบว่า CGI ไม่ต้องการหรือไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการแบ่งปันผลกำไรแก่ชุมชนท้องถิ่น’ ประเด็นดังกล่าวปรากฏขึ้นหลังจากที่ CGI ซึ่งมีสถานที่ทำการอยู่ในประเทศที่ไม่ต้องเสียภาษีอย่าง Guernsey ประกาศผลประกอบการขาดทุนในฤดูใบไม้ผลิปี 2022 ต่อมา South Pole ต้องการกระชับความสัมพันธ์กับ CGI ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นด้วยการร่วมทุนในพันธมิตรรายนี้ แต่ต่อมาก็มิได้ดำเนินการต่อด้วยเหตุผลที่ว่าบริษัทไม่มีทางแน่ใจได้เลยว่าเงินทุนมูลค่ากว่าสิบล้านที่จะร่วมทุนกับ CGI นั้นจะถูกนำไปใช้ในแนวทางที่ตกลงกันไว้ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ South Pole ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเงินลงทุนดังกล่าวจะตกถึงมือชุมชนท้องถิ่นชาวซิมบับเว

‘ดังนั้นเราจึงทำรายงานที่แสดงให้เห็นถึงกระแสเงินสด แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเงินทุกยูโรไปที่ไหนบ้าง เพราะมันไม่ใช่โครงการของเรา มันเป็นโครงการของชุมชนเอง’ นาย Dannecker กล่าวในที่ประชุม ดังนั้น South Pole จึงไม่สามารถบอกได้ว่าเงินถึงมือชุมชนท้องถิ่นจำนวนเท่าใด ก่อนหน้านี้ บริษัทอ้างว่าได้โอนเงินจำนวน 40 ล้านยูโรให้แก่ CGI แต่เมื่อ Follow the Money พบว่า South Pole ทำเงินจากโครงการ Kariba ได้มากกว่าที่ประกาศแก่สาธารณชน บริษัทก็กลับคำทันที่ โดยอ้างใหม่ว่าได้โอนเงินจำนวน 57 ล้านยูโรให้แก่ชาวซิมบับเว นอกจากนี้ South Pole ยังมีอิทธิพลที่จำกัดในเรื่องการนเงินไปใช้ เงินกว่า 30 ล้านที่อ้างว่านำไปสนับสนุนชุมชนนั้น ทางชุมชนท้องถิ่นได้ยืนยันมาว่า ‘ข้อตกลงกับ Wentzel นี้ได้ถูกระงับไว้’ นายSteve Wentzel ไม่มีคำตอบในเรื่องนี้

ช่องโหว่ในการดำเนินงานที่ถูกมองข้ามมาหลายสิบปี

นาย Dannecker พยายามหลีกเลี่ยงหัวข้อที่เปราะบางเกี่ยวกับโครงการ Kariba ในขณะประชุม โดยเขาไม่ได้พูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าโครงการ Kariba ในขณะนี้กลายเป็นโครงการที่ส่งผลกระทบทางลบแก่ภูมิอากาศ ด้วยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าปริมาณที่ดูดซับได้ บรรดาลูกค้าที่เป็นบรรษัทขนาดยักษ์ซื้อเครดิตที่ไม่มีอยู่จริงเพื่อมาชดเชยการปล่อยคาร์บอนของตนโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยขึ้นสู่บรรยากาศโลกนับล้านตันนั้นมิได้มีการชดเชยด้วยการดูดกลับแต่อย่างใด

ประการต่อมา การประมาณการเรื่องลดจำนวนต้นไม้ที่ถูกตัดโค่นลงถ้าไม่มีโครงการอนุรักษ์ ที่เกินกว่าความเป็นจริง หรือที่เรียกกันว่า Baseline Inflation งานวิจัยหลายต่อหลายงานพบว่าการประมาณการดังกล่าวปราศจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มารองรับ อย่างไรก็ตาม สถาบันรับรองจำนวนสามสถาบันก็ยังให้การรับรองคาร์บอนเครดิตของโครงการ Kariba ในปี 2014, 2017 และปี 2020 ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ตามกฎเกณฑ์ของ Verra ซึ่งเป็นสถาบันที่กำหนดมาตรฐานสากลในเรื่องนี้ สถาบันเหล่านั้นไม่มีอำนาจหน้าที่ในการให้การรับรองการประมาณการเรื่องลดจำนวนต้นไม้ที่ถูกตัดโค่นลงถ้าไม่มีโครงการอนุรักษ์

มีเพียงประเด็นเดียวที่ได้รับการตรวจสอบ ได้แก่การคำนวณว่าเป็นไปตามโมเดลการคำนวณที่บริษัทได้ให้ไว้เมื่อเริ่มโครงการหรือไม่ ไม่มีการตรวจสอบในเรื่องนี้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เมื่อถึงเดือนธันวาคมปี 2022 เมื่อ South Pole เริ่มรู้สึกถึงปัญหานี้และขอให้ Verra ช่วยรับรองเครดิตจำนวน 7 ล้านหน่วยที่ผลิตขึ้นในช่วงปี 2019-2021 ซึ่งเป็นช่วงที่พบว่าการตัดโค่นป่าต่ำกว่าการประมาณการ ซึ่งทำให้ Verra ประสบปัญหาความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เพราะในทางหนึ่งแล้ว Verra ต้องการรักษาชื่อเสียงด้านการตรวจสอบความถูกต้องของคาร์บอนเครดิตของตนไว้ ส่วนอีกทางหนึ่งก็จะได้รับค่าคอมมิสชั่นเป็นจำนวนเงิน 10 เซ็นต์ต่อเครดิตที่รับรองให้แก่ South Pole เมื่อ Follow the Money ถาม Verra เกี่ยวกับเรื่องนี้ Verra ก็เลี่ยงคำถามโดยตอบว่าเป็น ‘ราคาที่ถูกที่สุด’ และ “ให้บริการโดยไม่คิดกำไรในฐานะที่เป็นองค์กร NGO”

ในขณะเดียวกัน ความเสี่ยงที่เกิดจากความขัดแย้งทางผลประโยชน์ก็เกิดขึ้นภายในองค์กร South Pole ด้วย เนื่องจากบริษัทขายคาร์บอนเครดิต ให้คำปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมแก่ลูกค้า สร้างโครงการชดเชยคาร์บอน และบริหารกองทุน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก่อให้เกิดความสับสนในการบริหารผลประโยชน์ได้ง่ายมาก

Scroll to Top