THAI CLIMATE JUSTICE for All

Social Share

เขียนโดย Larry Lohmann
วันที่ 5 พฤศจิกายน 2010
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
ภาพประกอบโดย https://tinyurl.com/n55th6vp
อ้างอิง https://rb.gy/nfwj6

(ต่อจากวันอังคาร)

การเก็งกำไรและการให้เครดิต

อนุพันธ์ก็เหมือนกับนวัตกรรมทางการเงินอื่นๆที่เกิดขึ้นครั้งแรกเป็นเพียงกรมธรรม์ประกันภัยรูปแบบใหม่ที่ถูกนักลงทุนนำไปเป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรอย่างรวดเร็ว ในยุค 1970 ธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศเป็นเพียงสื่อในการซื้อขายสินค้าและบริการระหว่างประเทศ พอมาถึงยุค 2000 การแลกเปลี่ยนเงินตราเพื่อจุดประสงค์เดิมเหลือเพียงร้อยละ 0.1 ส่วนที่เหลือกลายเป็นการพนันในรูปแบบใหม่ นักลงทุนในตลาดอนุพันธ์สามารถเก็งกำไรจากส่วนต่างมูลค่าของน้ำมันได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินให้ธุรกิจน้ำมันเอง หรืออีกนัยหนึ่งลงเงินพนันกับราคาหุ้นหรือสภาพคล่องของธุรกิจที่ตนเองมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแต่ประการใด การขึ้นลงของอัตราดอกเบี้ยกลายเป็นเครื่องมือทำเงินหรือขาดทุนเมื่อมีการเก็งกำไร นักลงทุนให้สภาพคล่องแก่ตลาดซึ่งต้องการเงินทุนไหลเวียนเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา และเกิดโอกาสในการทำกำไรจากการเก็งมูลค่าของทุน เป็นวงจรหมุนเวียนติดต่อกันไปเช่นนี้

ในการถือกำเนิดของเครื่องจักรแห่งการลงทุนสมัยใหม่นี้ อนุพันธ์ทำให้เกิดวิธีการเสนอเครดิตที่มีความซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก โดยผ่านตัวแทนอย่างกองทุนบริหารความเสี่ยง กองทุนดัชนี บริษัทจัดการกองทุน โบรคเกอร์ บริษัทบริหารสินทรัพย์ และสถาบันการเงินที่หิวกระหายเงินตราอยู่ตลอดเวลาที่ดำเนินการอยู่ในตลาดแลกเปลี่ยนประเภทต่างๆ ความไม่แน่นอนถูกนำมาใส่บรรจุภัณฑ์และเสนอขายให้แก่นักลงทุนผู้ซึ่งมิได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกฎหมายหรือผู้ประกันตนที่มีข้อบังคับในการสำรองเงินทุนที่ต่ำกว่า ส่วนธนาคารเพื่อการลงทุนสามารถบันทึกรายได้จากการซื้อขายสินค้าแห่งความไม่แน่นอนนี้นอกบัญชีรายรับ เลี่ยงข้อบังคับในการสำรองเงินทุน และออกเงินกู้เพิ่มด้วยการใช้เครื่องมือทางการลงทุนที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี เมื่อความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการความไม่แน่นอนและหลักการแห่งความหลายหลายถูกแทนที่ด้วยตัวเลขจากการคำนวณต่างๆ หลักประกันการลงทุนก็จะขยายตัวอย่างไร้ขีดจำกัด

นัยยะทางสังคมที่ใช้อธิบายการเปลี่ยนแปลงนี้ก็คือทำให้เกิดประสิทธิภาพและผลผลิตจากการวางแผนอนาคตได้ดีขึ้น ผู้ที่สนับสนุนตลาดรูปแบบใหม่ (เช่นเดียวกับผู้ที่สนับสนุนอุตสาหกรรมการเกษตร) พยายามที่จะอธิบายลักษณะของตลาดรูปแบบใหม่นี้ว่ามีประสิทธิภาพ มีความเป็นกลางทางการเมือง และเป็นการจัดระเบียบสิ่งที่มีอยู่แล้วให้เป็นประโยชน์แทนที่จะเป็นผลลัพธ์ของการชดเชยที่แฝงไว้ด้วยผลประโยชน์ทางการเมือง ตัวอย่างเช่นคู่มือการซื้อขายอนุพันธ์ของ JP Morgan อธิบายว่าอนุพันธ์ทำให้ผู้ถือครองความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสามารถเข้าถึงสินเชื่อสภาพคล่องสูงได้ด้วยการ ‘แยกความเสี่ยงของสินเชื่อออกจากความเสี่ยงประเภทอื่นๆ’ นายอลัน กรีนแสปน อดดีตประธานเฟดเคยกล่าวถึงการแบ่งแยกความเสี่ยงในรูปแบบเช่นนี้ไว้ว่า :

‘ทำให้ความสามารถของตลาดที่จะกำหนดราคาสินค้าและสินทรัพย์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคได้ดีขึ้น และทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถจัดสรรทุนเพื่อผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณค่าที่สุดแก่ผู้บริโภคได้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่แน่นอนว่าจะพัฒนาระดับคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพการผลิตของชาติ’

ถ้อยแถลงดังกล่าวเป็นการอนุมานไปโดยปริยายที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับหลักการของตลาดซื้อขายคาร์บอน ซึ่งได้แก่ :

(1) ถ้าสินค้าแห่งความไม่แน่นอนสามารถคลี่คลาย แยกตัว ชดเชย และนับจำนวนได้ มันก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความเข้มแข็งของตัวมันเอง ดังนั้น :

(2) ในกรณีนี้แปลว่าสินค้าแห่งความไม่แน่นอนสามารถคลี่คลาย แยกตัว ชดเชย และนับจำนวนได้

ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น สิ่งที่ทำให้ตลาดตราสารหนี้เดินหน้าไปได้นอกเหนือไปจากกำไรมหาศาลที่สถาบันการเงินจะได้รับ ได้แก่การกระตุ้นให้เกิดสินเชื่อเพื่อการซื้อบ้าน รถยนต์ และการบริโภคส่วนบุคคลอื่นๆ สินเชื่อประเภทนี้บูมขึ้นมาในเวลาเดียวกับที่สถาบันการเงินเชื่อว่าพวกเขาสามารถขจัดความเสี่ยงใดๆให้แก่ผู้ผลิตตราสารหนี้หรือประกันความเสี่ยงเครดิตซึ่งทำให้นักลงทุนไม่พอใจ ตัวอย่างเช่นธนาคารยึดจำนองจากผู้ที่ไม่สามารถชำระหนี้รายเดือนได้แล้วจึงนำเอาหนี้สินนี้แพ็คใส่กล่องที่ดูสวยหรูแล้วนำไปเร่ขายให้แก่สถาบันหรือกองทุนบริหารความเสี่ยงราวกับเป็นสิ่งมีค่า กระกระทำเช่นนี้ดึงดูดทั้งรัฐบาลอังกฤษและสหรัฐอเมริกาเพราะดูเหมือนว่าได้รับการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคที่นำไปสู่การประท้วงจากสาธารณชนเพราะทำให้รายได้ของพวกเขาลดลงและทำให้ช่อวงว่างทางฐานะระหว่างคนรวยกับคนจนถ่างกว้างขึ้น มูลค่าของหลักทรัพย์เติบโตขึ้นกว่าห้าเท่าในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย และญี่ปุ่นในช่วงเวลาเพียงสิบปีตั้งแต่ปี 2006-2016 ในปี 2005 ค่าใช้จ่ายครัวเรือนของสหรัฐฯพุ่งสูงขึ้นสวนทางกับมูลค่าอสังหาริมทรัพย์เป็น 4.75 ล้านล้านดอลล่าร์เมื่อเทียบกับ 106 แสนล้านดอลล่าร์เมื่อสิบปีก่อน สองในสามของค่าใช้จ่ายใช้ไปกับการบริโภค ปรับปรุงบ้าน และหนี้บัตรเครดิต ที่ช่วยให้ประเทศที่ส่งออกสินค้าเป็นจำนวนมากอย่างจีนนั้นร่ำรวยขึ้นและผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกเพิ่มมากขึ้นจนถึงระดับที่เกินความต้องการของตลาด (อ่านต่อวันเสาร์)


Social Share