THAI CLIMATE JUSTICE for All

Social Share

เขียนโดย Mita Sen และ Benjamin Singer
วันที่ 11 มิถุนายน 2020
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์

ภาพประกอบ United Nations Forum on Forests Secretariat in UN DESA

ภาวะระบาดของไวรัสโควิด 19 ได้นำมาซึ่งหนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ระบบสาธารณสุขกำลังทำงานเกินกำลังและการล็อคดาวน์ก็ทำให้เศรษฐกิจและสังคมถดถอยลงเป็นอย่างมาก และทุกคนนับตั้งแต่ชาวเมืองหลวงไปจนกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในป่าก็ได้รับผลกระทบอย่างถ้วนหน้ากัน หลายต่อหลายประเทศพยายามรับมือกับวิกฤตินี้ด้วยการเพิ่มงบประมาณสาธารณสุข ใช้งบประมาณเยียวยาเศรษฐกิจภาคประชาชน ในขณะเดียวกันวิกฤตินี้ก็ทำให้เรามองเห็นโอกาสที่จะปรับโครงสร้างการพัฒนาความเจริญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางเศรษฐกิจ ให้มีความยั่งยืนกว่าที่ผ่านมาด้วย
.
ป่าและต้นไม้สร้างรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ชุมชนในชนบท โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มชาติพันธุ์ เกษตรกรรายย่อย และชุมชนชาวป่าชาวเขาต่างๆ ป่าลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อนโดยการดูดซับก๊าซเรือนกระจกเป็นปริมาณถึงหนึ่งในสามของปริมาณที่ปล่อยโดยกิจกรรมมนุษย์ทุกปี นอกจากนี้ยังให้ผลผลิตที่จำเป็นต่อสุขภาวะของมนุษย์อีกด้วย
.
หากภาวะระบาดของไวรัสโควิด 19 ไม่บรรเทาลงในเร็ววันนี้ มนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัยผลผลิตจากป่าเพิ่มขึ้นเป็นอย่างสูง ซึ่งทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าเราจะทำอย่างไรที่จะรักษาป่าไว้ให้เป็นแหล่งทรัพยากรในระยะยาวโดยไม่ถูกทำลายในเวลาที่อุปสงค์เพิ่มสูงขึ้นเช่นนี้
.
การบริหารทรัพยากรป่าอย่างยั่งยืนมีบทบาทมากในการช่วยให้ผู้คนนับล้านพ้นจากความยากจนและสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่เข้มแข็งต่อภาวะโรคระบาด ภาวะโลกร้อน และภัยพิบัติอื่นๆ ซึ่งรัฐบาลของประเทศต่างๆ สหประชาชาติ และพันธมิตรเพื่อการพัฒนาต่างๆ จะต้องร่วมกันตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรจึงจะใช้ทรัพยากรป่าต่อสู้กับภาวะระบาดของไวรัสโควิด 19 อย่างไม่ล่าช้า
เวลานี้สหประชาชาติได้รวมเอาแผนปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับป่าและชุมชนในระดับสากลเข้าไว้ในแผนกลยุทธ์สำหรับปี 2030 เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ยังขาดอยู่ได้แก่แรงผลักดันทางการเมือง ความร่วมมือในระดับนานาชาติ และการลงมือแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างไม่ล่าช้า
.
ป่าเป็นเสมือนเปลรองรับชนกลุ่มเปราะบาง
เป็นเวลานานนับศตวรรษมาแล้วที่ป่าเป็นที่พึ่งพิงของชาวชนบทที่มีฐานะยากจน แม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2000 อาจช่วยลดภาระของป่าลงได้บ้าง ในบรรดาผู้คนที่ยากจนที่สุดในโลกที่อาศัยอยู่ตามชนบทนั้น ร้อยละ 40 อาศัยอยู่ในป่าหรือทุ่งซาวันน่าห์
เป็นที่คาดการณ์ว่าป่าเป็นแหล่งอาหาร รายได้ และความหลากหลายทางสารอาหารให้แก่คนจำนวนร้อยละ 20 ของประชากรโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิง เด็ก เกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกิน และกลุ่มเปราะบางอื่นๆ


ภาวะระบาดของไวรัสโควิด 19 จะทำให้จำนวนคนยากจนเพิ่มสูงขึ้นแน่นอน งานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ชี้ให้เห็นว่าภาวะระบาดของไวรัสโควิด 19 มีความสัมพันธ์กับอัตราการว่างงานและรายได้ลดลง และจะทำให้ประชากรอีกจำนวน 34.3 ล้านคนตกอยู่ในฐานะที่ยากจนมากในปี 2020 หรือ 160 ล้านคนในกรณีที่ร้ายแรงที่สุด
.
วิกฤติการณ์ครั้งนี้กระทบประชากรชายขอบ รวมไปถึงชาวชนบทและกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในป่ามากกว่ากลุ่มอื่น กลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มมีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งกับป่าของบรรพชนและเป็นผู้รักษาภูมิปัญญาพื้นบ้านที่เกี่ยวกับความหลากหลายทางพันธุกรรม ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้ กลุ่มชาติพันธุ์มักเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุดในด้านสาธารณสุขเนื่องจากอยู่อาศัยใกล้ชิดกับแหล่งโรคระบาด และมีอัตราการตายสูง กลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มรับมือกับภาวะระบาดของไวรัสโควิด 19 ด้วยการหนีเข้าไปอาศัยในป่าลึก
.
ประชากรราว 2.4 พันล้านคนหรือหนึ่งในสามของจำนวนประชากรโลกยังคงพึ่งพาไม้ฟืนในการหุงหาอาหารและให้ความอบอุ่นแก่บ้านเรือนของตน ไม้ฟืนซึ่งรวมไปถึงถ่านเป็นแหล่งพลังงานราคาถูกสำหรับกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติและวิกฤติการณ์ต่างๆ และร้อยละ 83 ของประชากรราว 850 ล้านคนที่ทำหน้าที่หาฟืนและผลิตถ่านนั้นเป็นผู้หญิง

การพึ่งพิงแหล่งพลังงานชีวมวลจากป่ามีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่เกิดภาวะระบาดของไวรัสโควิด 19 เนื่องจากแหล่งพลังงานอื่นเกิดการขาดแคลนเพราะการขนส่งที่เกิดอุปสรรคจากการระบาดของโรค และทำให้รายได้ของประชากรเหล่านี้ลดลง
ความเปราะบางทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ทำให้ป่าต้องรับภาระหนักขึ้นในการทำหน้าที่เป็นที่พึ่งพาอาศัยของประชากรที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้ เนื่องจากจำนวนคนยากจนในชนบทที่เพิ่มขึ้นและจำนวนผู้ที่อพยพจากเมืองกลับสู่ถิ่นฐานในชนบทเนื่องจากสูญเสียงานและแหล่งรายได้ในเมืองจากภาวะระบาดของไวรัสโควิด 19
.
ป่าให้ผลิตผลเพื่อสุขภาพแก่มนุษย์
ป่าไม้ให้วัตถุดิบสำหรับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพแก่มนุษย์หลายต่อหลายรายการ เห็นได้จากภาคอุตสาหกรรมป่าไม้เพิ่มความสำคัญขึ้นมาอย่างรวดเร็วหลังเกิดภาวะระบาดของไวรัสโควิด 19 ผลิตภัณฑ์เพื่อการอนามัยจำพวกกระดาษชำระและเอธานอลที่ใช้ผลิตเจลแอลกอฮอล์ทั้งหมดนี้ผลิตจากต้นไม้ เครื่องมือป้องกันส่วนบุคคลหรือ PPE เช่นหน้ากากอนามัยและชุดป้องกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ผลิตจากเยื่อไม้และเส้นใยเซลลูโลส ส่วนประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้นมีการใช้การขนส่งสินค้าผ่านระบบ e-commerce มากขึ้น ทำให้ความต้องการกระดาษที่ใช้สำหรับผลิตกล่องพัสดุเพิ่มสูงขึ้นในช่วงภาวะระบาดของไวรัสโควิด 19
.
มาตรการที่สำคัญในการบริหารระบบสาธารณสุขได้แก่ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งน้ำ ปัจจุบันประชากรราว 2.2 พันล้านคนขาดแหล่งน้ำสะอาด จึงทำให้ขาดมาตรการป้องกันตนเองจากไวรัสโควิด 19 ได้เพราะไม่มีน้ำสำหรับล้างมือบ่อยๆ ตามที่แพทย์แนะนำ
ป่าเป็นส่วนสำคัญของวงจรหมุนเวียนของน้ำเนื่องจากน้ำปริมาณถึงสามในสี่ของโลกมาจากป่า ป่าทำให้ฝนตก กรองน้ำฝนให้สะอาด ลดการกัดเซาะผิวดิน และเป็นแหล่งน้ำสะอาดให้ประชาชนจำนวนหนึ่งในสามของประชากรที่อาศัยอยู่ในเมือง
.
นอกจากจะให้ผลผลิตเป็นแหล่งอาหาร พื้นที่สีเขียว และสวนสาธารณะ ป่ายังมีบทบาทที่สำคัญต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชน
เมื่อศูนย์สันทนาการต่างๆ ในเมืองถูกปิดตัวลงเพื่อชะลอการระบาดของไวรัสโควิด 19 ทำให้สวนสาธารณะและพื้นที่สันทนาการกลางแจ้งมีความเหมาะสมสำหรับการทำกิจกรรมอย่างเช่นการขี่จักรยาน เดินป่า ตั้งแคมป์ ตกปลา และดูนก และรักษาระยะห่างทางสังคมไปพร้อมกัน
การทำกิจกรรมกลางแจ้งในป่าหรือสวนสาธารณะนั้นเป็นผลดีต่อสุขภาพกายและใจของมนุษย์ด้วยการเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดความเครียด ลดความดันโลหิต และทำให้ผ่อนคลาย ในประเทศญี่ปุ่นมีแนวปฏิบัติที่เรียกกันว่า “การอาบป่า” หรือ “Shinrin-yoku” เป็นส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพของประเทศในรูปแบบของเวชศาสตร์ป้องกันโรค

ฟื้นฟูป่า ฟื้นฟูงาน
จากการที่เศรษฐกิจโลกเกือบทั้งหมดตกอยู่ในภาวะล็อคดาวน์และอัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้น รัฐบาลของประเทศต่างๆได้พยายามออกมาตรการเยียวยาประชาชนในการแก้ปัญหา ซึ่งก่อให้เกิดโอกาสในการกำหนดนโยบายและการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับอนาคตด้วย

โดยนโยบายที่มีความยั่งยืนและให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการออกแบบนั้นจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญของสังคมที่เข้มแข็งต่อภัยธรรมชาติ
งานวิจัยของนักเศรษฐศาสตร์กลุ่มหนึ่งในปี 2020 บ่งชี้ว่ามาตรการเยียวยาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 5 มาตรการต่อไปนี้จะเป็นมาตรการที่เหมาะสมที่สุดในการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังการระบาดของไวรัสโควิด 19 ได้แก่

  1. การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
  2. การปรับปรุงประสิทธิภาพของการก่อสร้าง
  3. การลงทุนในการศึกษาและฝึกอบรม
  4. การลงทุนในทรัพยากรธรรมชาติ และ
  5. การวิจัยและพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม

การลงทุนในทรัพยากรธรรมชาติเช่นป่าเป็นมาตรการที่สามารถปฏิบัติได้ทันทีเพราะไม่ต้องการการฝึกอบรมแรงงาน การวางแผนงาน หรือการจัดซื้อมากนัก และยังเป็นไปตามการเว้นระยะห่างทางสังคมอีกด้วย

ภาคป่าไม้เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดการจ้างงานได้เป็นจำนวนมากเพราะเป็นงานที่ต้องใช้แรงงานมากและใช้ทุนต่ำ เช่นงานปลูกป่า ฟื้นฟูป่า บริหารจัดการทรัพยากรป่า งานอนุรักษ์ งานดูแลรักษาแหล่งน้ำ งานวนเกษตร ป่าชุมชน งานป้องกันไฟป่า สร้างถนน และพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ชุมชนมีส่วนร่วม อินเดียและปากีสถานสร้างตำแหน่งงานสำหรับผู้อพยพหนีการระบาดของไวรัสโควิด 19 สู่ชนบทที่เกี่ยวกับการปลูกป่า ฟื้นฟูป่า และวนเกษตร ล่าสุดอินเดียประกาศลงทุนเป็นเงินมูลค่า 790 ล้านดอลล่าร์ภายใต้ Compensatory Afforestation Fund Management and Planning Authority (CAMPA) เพื่อการสร้างงานปลูกและฟื้นฟูป่าในชุมชนในป่า ชุมชนชนบท ชานเมือง และชุมชนเมือง

ส่วนในระดับรัฐนั้น โครงการปลูกป่าในอินเดียตะวันออกทำให้เกิดการจ้างงานสำหรับผู้อพยพหนีการระบาดของไวรัสโควิด 19 สู่ชนบทเป็นจำนวน 500,000 ครัวเรือน ซึ่งแต่ละครัวเรือนจะทำหน้าที่ปลูกไม้ผลจำนวน 100 ต้นต่อครัวเรือนภายใน 5 ปี
ในปากีสถาน แรงงานรายวันที่สูญเสียงานจากการระบาดของไวรัสโควิด 19 ได้รับหน้าที่ปลูกต้นไม้จำนวน 10 ล้านต้นทั่วประเทศ เท่ากับการสร้างงานจำนวน 63,600 ตำแหน่ง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในชนบทและเป็นเพศหญิง เช่นเดียวกันกับที่ไอซ์แลนด์ ซึ่งได้ลงทุนมูลค่า 3.7 ล้านดอลล่าร์ในการแก้ไขปัญหาโลกร้อนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเยียวยาผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด 19 รอบที่สองด้วยการฟื้นฟูคุณภาพดินและป่าต้นเบิร์ช
.
ป่าที่สมบูรณ์ช่วยลดผลกระทบจากโรคระบาดในอนาคต
เป็นที่คาดการณ์ว่าร้อยละ 60 ของโรคระบาดในมนุษย์และร้อยละ 75 ของโรคระบาดอุบัติใหม่นั้นเกิดจากสัตว์ป่าเป็นพาหะมาสู่มนุษย์ เชื้อโรคที่อาศัยสัตว์เป็นพาหะเช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ถางป่า (สัมปทานไม้ ธุรกิจเกษตรพาณิชย์ การท่องเที่ยว เหมืองแร่ เขื่อน ถนน ฯลฯ-ผู้แปล) ทำให้เกิดกระจายเชื้อโรคจากป่า สัตว์ป่าสู่มนุษย์ง่ายขึ้น
.
งานวิจัยในปี 2020 พบว่าการตัดไม้ทำลายป่ามีส่วนทำให้เกิดโรคระบาดอย่างไวรัสโควิด 19 ได้อีกในอนาคต ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยบ่งชี้ว่าเมื่อมนุษย์ทำลายป่า โอกาสที่โรคติดต่อจากสัตว์ป่ามาสู่คนจะเพิ่มสูงขึ้น
ความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ การสัมปทานไม้ ตัดไม้ทำลายป่า การลักลอบค้าสัตว์ป่า ธุรกิจพืชพาณิชย์ขนาดใหญ่ ธุรกิจท่องเที่ยว โครงการพัฒนาที่ทำลายป่า และภาวะโลกร้อนทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคระบาด ภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และกระทบต่อการระบาดของโรคติดต่อ

ในขณะที่สภาพภูมิอากาศของโลกยังคงเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง เป็นที่คาดว่าจะเกิดโรคระบาดบ่อยขึ้น และผลการวิจัยยังระบุอีกว่าการอนุรักษ์ที่ดิน การปกป้องผืนป่า และการสร้างแนวกันชนป่าด้วยการส่งเสริมจัดการป่าของชุมชน จะลดการติดต่อระหว่างมนุษย์และสัตว์ป่าและลดโอกาสในการเกิดโรคระบาด
.
บทสรุปและข้อเสนอแนะ
ในขณะที่เรากำลังต่อสู้กับการระบาดของไวรัสโควิด 19 อยู่ในขณะนี้นั้น เป็นที่ชัดเจนว่ามาตรการ building back better หรือการจัดการสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนภายหลังการระบาดของไวรัสโควิด 19 นั้นจะต้องมีการวางแผนรับมือภัยธรรมชาติที่ดีพอ
การระบาดของไวรัสโควิด 19 จะไม่ใช่วิกฤติสุดท้ายที่โลกจะต้องเผชิญ นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กลว่าถึงไวรัสโควิด 19 ว่าเป็น “เสียงนาฬิกาปลุก” ให้มนุษยชาติตื่นตระหนัก ถ้าจะฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของไวรัสโควิด 19 อย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เราต้องสร้างระบบนิเวศป่าที่อุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืนและชุมชนเข้มแข็งจากการพึ่งพาป่าชุมชน ป่าไม่เพียงแต่จะบรรเทาความยากจนของชุมชนในชนบทเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนทางกลยุทธ์แก่นโยบายที่สำคัญๆ เช่น ความมั่นคงอาหาร สาธารณสุข การจ้างงานและการบรรเทาสาธารณภัย ทว่าป่าในปัจจุบันยังถูกทำลายจากการตัดไม้ ธุรกิจพืชพาณิชย์ขนาดใหญ่ การท่องเที่ยว เหมืองแร่ เขื่อน ถนน โครงการพัฒนา ไฟป่า มลภาวะ พายุ และภาวะโลกร้อน
.
เมื่อกลุ่มเปราะบางหันเข้าพึ่งพาป่าในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด 19 ประชาคมนานาชาติจะต้องลุกขึ้นมาร่วมกันส่งเสริมกลุ่มเปราะบาง ชุมชนท้องถิ่น ต่อสู้ปัญหา และพัฒนาการบริหารจัดการป่าและต้นไม้นอกป่าอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม แนวทางนี้ได้รวมอยู่ในแผนกลยุทธ์ของสหประชาชาติว่าด้วยป่าและเป้าหมายเกี่ยวกับป่าของโลกในปี 2030 และเป้าหมาย SDG ในปี 2030 ไว้แล้ว
ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของไวรัสโควิด 19 ในระดับชาติและนานาชาติจากกรอบนโยบายที่กล่าวมาข้างต้น

ประการแรก ให้การสนับสนุนการบริหารทรัพยากรป่าอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม ด้วยการเร่งดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ของสหประชาชาติว่าด้วยป่าและเป้าหมายเกี่ยวกับป่าของโลกในปี 2030
.
ประการที่สอง ให้จัดทำโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของไวรัสโควิด 19 เพื่อช่วยเหลือ ส่งเสริมชุมชน ชาวป่า ชนเผ่า กลุ่มชาติพันธุ์ และชุมชนท้องถิ่นต่างๆ ต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่าจากกิจกรรม โครงการพัฒนา การขยายครอบครองที่ดินของกลุ่มทุนที่ทำลายป่า เพิ่มตำแหน่งงานที่เกี่ยวกับการปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่ป่า อนุรักษ์ป่า ปกป้องแหล่งน้ำ วนเกษตร และปลูกต้นไม้ในเมือง ในมาตรการเยียวยาผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด 19

ประการที่สาม ผลักดันกฎหมายจัดการป่าและระบบธรรมาภิบาลป่า (กระจายอำนาจ เป็นธรรม มีส่วนร่วม ประสิทธิภาพ ตรวจสอบได้ มีความพร้อมรับผิดชอบ ฯลฯ-ผู้แปล) โดยชุมชนท้องถิ่นและประชาชนมีส่วนร่วม
โดยการปรับโครงสร้างหน่วยงานรัฐด้านป่าไม้ ให้มีระบบคุ้มครองและส่งเสริมการใช้ประโยชน์ จัดการป่าอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม โดยชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทอย่างสำคัญ
.
ประการสุดท้าย สนับสนุนการเก็บและปรับปรุงข้อมูลสถิติที่เกี่ยวกับป่าโดยชุมชน ประชาชนมีส่วนร่วม ให้เป็นปัจจุบัน และมีความเฉพาะเจาะจงกับบริบทพื้นที่และชุมชนที่หลากหลายอยู่เสมอ รวมถึงการทำวิจัยและการวิเคราะห์ผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด 19 ที่มีต่อการบริหารจัดการทรัพยากรป่าอย่างยั่งยืน


อ้างอิง https://www.un.org/…/un-desa-policy-brief-80-forests…/


Social Share