THAI CLIMATE JUSTICE for All

ยุติลัทธิอาณานิคมคือการยุติ REDD+

เขียนโดย Larry Lohmann
วันที่ 30 กันยายน 2021
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
ภาพประกอบ pixabay.com

ภาพประกอบ pixabay.com

ก่อนที่โครงการการลดการปล่อยก๊าชเรือนกระจกจากการตัดไม้ทำลายป่าและการทำให้ป่าเสื่อมโทรม (REDD) และ กิจกรรมอนุรักษ์ป่าไม้และการจัดการป่าไม้ที่ยั่งยืนเพื่อเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าของประเทศกำลังพัฒนา (Plus,+) จะทำเงินให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้นั้น มันจะต้องแบ่งประชากรโลกออกเป็นสามชนชั้นเสียก่อน

ภาพประกอบ http://no-redd.com/wp-content/uploads/2015/05/False-Solutions-to-Climate-Change-IMPORTANT-1.pdf

ชนชั้นแรก เป็นชนชั้นที่ถูกมองว่ามีบทบาทอนุรักษ์ป่า เป็นชนชั้นที่อ้างว่าจ่ายเงินเพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างการอนุรักษ์ป่าและการปล่อยให้ป่าถูกทำลาย ผลตอบแทนจากการจ่ายเงินเพื่อแลกกับใบอนุญาตขุดเจาะน้ำมันซึ่งเป็นแหล่งที่มาที่สำคัญของอำนาจและความร่ำรวยของชนชั้นนี้ คนกลุ่มนี้จะต้องลงทุนใน REDD+ เป็นการจ่ายเงินดังกล่าว เงินทุกดอลลาร์ที่ลงทุนไปใน REDD+ หมายถึง เงินมากกว่าที่ต้องลงทุนไปเพื่อประกันว่าการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลจะยังคงอยู่ต่อไป

ชนชั้นที่ที่สองได้แก่ ชนชั้นที่ถูกมองว่าปล่อยให้ป่าถูกทำลายถ้าไม่มีเงินทุนจาก REDD+ มารักษาไว้ (ชนพื้นเมือง ชุมชนท้องถิ่น เกษตรกรรายย่อย) เพราะชนชั้นนี้ขาดเงินทุนที่ใช้ในการต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่า การทำเหมือง การสร้างเขื่อน และการถางป่าเพื่อทำไร่ หรือเป็นเพราะถ้าไม่มีเงินทุนสนับสนุนจาก REDD+ ก็ไม่สามารถเรียนรู้วิธีการที่ทำให้ป่าสามารถดูดซับคาร์บอนที่ปล่อยออกมาจากกระบวนการเผาเชื้อเพลิงได้ หรืออาจเป็นเพราะว่าเมื่อปราศจากเงินทุนจาก REDD+ แล้ว ชนชั้นนี้ก็เป็นเพียงนักทำลายป่าโดยกำเนิด ที่มีชีวิตอยู่โดยการถางเผาป่าทำไร่ ตัดไม้ทำฟืน เป็นลูกจ้างนายทุนเจ้าของกิจการค้าไม้หรือเหมืองแร่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญได้แก่ข้อเท็จจริงที่ว่า การที่จะทำให้โครงการ REDD+ ได้ผลนั้น ชนชั้นที่สองซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มที่จะถูก (รัฐและชนชั้นสูง) มองว่านิ่งดูดาย จะต้องถูกควบคุม จัดการเพื่อสร้างภาพแก่ชนชั้นแรกให้มีบทบาทแข็งขันในการปกป้อง่า จนสังคมไม่สามารถโต้แย้งได้ว่า ป่าที่อยู่รอดได้ เพราะทุนจากชนชั้นแรกจากโครงการ REDD+  ไม่ใช่ความพยายามของชุมชนท้องถิ่นหรือฝนที่ตกมากขึ้น

ชนชั้นสุดท้ายได้แก่ชนชั้นที่ถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ยอมรับคำกล่าวอ้างของกลุ่มแรกว่า พวกเขาคือชนชั้นที่ช่วยให้ป่ารอดพ้นจากการทำลายของกลุ่มที่สอง และเป็นกลุ่มที่สำคัญต่อการอยู่รอดและธำรงหน้าตาของชนชั้นที่หนึ่ง

ลัทธิทวินิยมดั้งเดิม

เราจะรู้สึกคุ้นเคยกับความขัดแย้งระหว่างชนชั้นที่หนึ่งและชนชั้นที่สอง เพราะมันคือผลพวงของการแบ่งแยกชนชั้นโดยลัทธิล่าอาณานิคมและการเหยียดผิวที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ามานับศตวรรษ ความแตกแยกของชนชั้นที่หนึ่งและชนชั้นที่สองก็เหมือนกับลัทธิจักวรรดินิยมที่แบ่งแยกผู้พิชิตผิวขาวผู้ซึ่ง “สร้างประวัติศาสตร์” และชนผิวสีผู้ที่ “ไม่มีประวัติศาสตร์” ที่มีชีวิตเพียงเพื่อหากินไปวันแล้ววันเล่าอย่างจืดชืด เช่นเดียวกับความแตกต่างดั้งเดิมระหว่างชาวยุโรปที่ถือครองทรัพย์สินอย่าง “ออกดอกออกผล” และชนพื้นเมืองที่ไม่เคย “พัฒนา” ที่ดินของตนเองดังนั้นจึงไม่สมควรมีสิทธิเหนือที่ดินนั้น ตามที่นักคิดอย่างจอห์น ล็อคได้เสนอไว้ แนวคิดเช่นนี้คือสิ่งที่ทุนนิยมสนับสนุนเมื่ออ้างว่า “ความคิดริเริ่ม” และ “ความเฉลียวฉลาด” ของตนทำให้ตนมีสิทธิที่จะทำนาบนหลังคนที่เกียจคร้านหรือฉลาดน้อยกว่า

ในความเป็นจริงแล้วโครงการ REDD+ จะได้ผลดีมากเมื่อนำมาใช้กับลัทธิอาณานิคม ยิ่งชนชั้นที่สองไร้สิทธิไร้เสียงมากเท่าใด การทำนายจำนวนต้นไม้ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้โดยกองทุน REDD+ ก็จะง่ายยิ่งขึ้นเท่านั้น REDD+ ไม่เพียงแต่ถูกตั้งขึ้นบนพื้นฐานของการเหยียดชาติพันธุ์เท่านั้น แต่ยังมีระบบคอมมิสชั่นให้กับการพัฒนาที่นำไปสู่การเหยียดชาติพันธุ์มากขึ้นไปอีก แต่ทำไมสิ่งเหล่านี้ไม่ก่อให้เกิดเรื่องอื้อฉาวตามสื่อต่างๆ และโครงการ REDD+ สามารถปกปิดลักษณะที่เหยียดเชื้อชาติเช่นนี้มาได้นานนับปี

การซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังคำศัพท์เฉพาะทางเทคนิค

ความลับดังกล่าวคือ การวัดปริมาณคาร์บอน ( carbon accounting) การวัดปริมาณคาร์บอนของโครงการ REDD+ ก็เหมือนกับกฎหมายและวรรณกรรมยุคล่าอาณานิคมคลาสสิก คือมีขึ้นเพื่อประกันความไม่เท่าเทียมกันของคน สิ่งที่แตกต่างคือการวัดปริมาณคาร์บอน REDD+ ไม่ได้ป่าวประกาศความสองมาตรฐานของตนอย่างโจ่งแจ้ง แต่ซ่อนตัวอยู่หลังงานเขียนที่เต็มไปด้วยคำศัพท์ทางเทคนิคนับพันๆ หน้า ซึ่งไม่มีการใช้คำว่า “ชนชั้นสอง” หรือ “ชนชั้นหนึ่ง” ไม่ใช้คำว่า “ไร้ค่า” เมื่อกล่าวถึงที่ดินของชนชั้นสอง หรือคำว่า “ที่ดินที่ถูกใช้อย่างเต็มไปด้วยประสิทธิผล” เมื่อกล่าวถึงที่ดินของชนชั้นหนึ่ง แต่จะใช้คำว่า “ข้อมูลพื้นฐาน” และคำว่า “โครงการที่สนับสนุนทุนโดย REDD+” อันที่จริงแล้วคำว่า “ข้อมูลพื้นฐาน” คือรหัสลับของคำว่า “ชะตากรรม” ข้อมูลพื้นฐานคือ สิ่งใดก็ตามที่เจ้าของอาณานิคมคิดว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะมาถึงและทำการเปลี่ยนแปลงเสียเอง ซึ่งอาจเป็นธรรมชาติที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ของชนชาวป่า หรืออาจเป็นสิ่งที่จอห์น ล็อคมองอเมริกาว่าเป็นอาณาเขตที่มีชะตากรรมที่จะต้องคงความป่าเถื่อนจนกระทั่งชนผิวขาวมาถึง หรืออาจเป็นการรุกราน “พื้นที่ที่ควรเสียสละได้” อย่างไม่หยุดยั้งของทุนนิยมเพื่อแสวงหาทรัพยากร

ในกรณีใดๆ ก็ตาม “ข้อมูพื้นฐาน” ของการตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่โครงการ REDD+ ก็ยังสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้โดยวิธีการทางสถิติอย่างเช่นโมเดลทางเศรษฐศาสตร์ ภาพถ่ายดาวเทียม การวัดขนาดต้นไม้ หรือ linear extrapolation จากการสุ่มตัวอย่างอยู่เสมอ ผู้ตรวจวัดปริมาณคาร์บอนของ REDD+ มีความตั้งใจอย่างมืออาชีพที่จะตั้งสมมติฐานว่าพวกเขาสามารถทำนายสภาพในอนาคตของป่าที่ชุมชนชาวป่าอาศัยอยู่แบบเดียวกับที่นักเคมีสามารถทำนายผลของปฏิกิริยาทางเคมีได้

ส่วนโครงการ REDD+ นั้นมีความแตกต่างออกไป ภายใต้กฎของการวัดปริมาณคาร์บอน สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับโครงการ REDD+ คือ จะไม่สามารถทำนายผลโครงการโดยใช้วิธีการทางสถิติจากพฤติกรรมของที่ปรึกษาหรือการลงทุนใน REDD+ ครั้งที่ผ่านมา (ต่างจากข้อมูลพื้นฐานตรงที่โครงการ REDD+ ไม่มีลักษณะร่วมจากอดีต ในขณะที่ชุมชนในป่าถูกจำกัดโดยข้อมูลสถิติ แต่นักลงทุนของ REDD+ ไม่เป็นเช่นนั้น) ผลก็คือเงินทุนที่สนับสนุนโดยโครงการ REDD+ จะไม่สามารถคำนวณได้ และทำให้ไม่สามารถขออนุญาตปล่อยคาร์บอนได้ ที่ปรึกษาของ REDD+ และบริษัทและรัฐบาลของประเทศเจ้าของโครงการคงจะไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งถ้าการวัดปริมาณคาร์บอนคือการทำนายพฤติกรรมที่เกี่ยวกับการจัดการคาร์บอนในอนาคตให้เป็นเลขตัวเดียวบนพื้นฐานของข้อมูลในอดีตที่ไม่น่าจดจำ อย่างไรก็ตามชุมชนในป่าก็คงจะนิ่งเฉยในขณะที่บรรดาผู้ตรวจวัดคาร์บอนพยายามขู่พวกเขาว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับที่ดินของพวกเขาในอนาคตถ้าไม่ยอมรับโครงการ REDD+

ในหลายๆ ทางแล้ว การวัดปริมาณคาร์บอนของ REDD+ เป็นเพียงกิจกรรมล่าอาณานิคมอีกกิจกรรมหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยการจัดการกับชุมชนในป่าอย่างไม่เป็นธรรม และผู้ตรวจวัดปริมาณคาร์บอนก็จะลบสิ่งที่ไม่น่าจดจำออกไปจากบันทึกของตนในภายหลัง REDD+ ที่ปราศจากลัทธิล่าอาณานิคมนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้พอๆ กับการแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติโดยไม่ใช้วิธีการล่าอาณานิคม

ข้อวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง REDD+

ลักษณะการเหยียดชาติพันธุ์ในการวัดปริมาณคาร์บอนของ REDD+ นั้นมีความลึกซึ้งเกินกว่าเพียงแค่ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ตรวจวัดปริมาณคาร์บอนมักเป็นชนผิวขาว ประเด็นที่แท้จริงนั้นคือการวัดปริมาณคาร์บอนของ REDD+ มีลักษณะเป็นลัทธิอาณานิคมไม่ว่าจะใช้คนผิวดำ เหลือง หรือแดงมาเป็นผู้ตรวจวัดคาร์บอนก็ตาม และยิ่งโครงการ REDD+ ได้ผลดีเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าเงินทุนของ REDD+ สร้างความแตกต่างได้ จึงเป็นการสนับสนุนลัทธิอาณานิคมไปในตัว

เราจะเห็นความย้อนแย้งในเรื่องนี้เมื่อโครงการ REDD+ พยายามนับเอากลุ่มชนพื้นเมืองและชาวนาชาวไร่ไว้ในกลุ่มปกป้องป่า แทนที่จะเป็นกลุ่มที่ใช้ทรัพยากรป่าอย่างขาดความรับผิดชอบ REDD+ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตั้งสมมติฐานว่า วิถีของชนชาวป่าดั้งเดิมนั้นไม่ว่าจะดีอย่างไรก็ตาม แต่ยังไม่ดีพอถ้าขาดการสนับสนุนด้านทุนจาก REDD+ แต่ทว่าเงินทุนของ REDD+ ต้องการการนับโมเลกุลคาร์บอนเพื่อนับจำนวนสิทธิในการปล่อยก๊าซที่ REDD+ จะจัดสรรให้แก่อุตสาหกรรมน้ำมัน ซึ่งหมายความว่า วิถีของชนชาวป่าที่มีประโยชน์จะต้องถูกนำมาวางแผน ตรวจวัด จัดแนวคิดใหม่ จัดโครงสร้างใหม่ รับการอนุมัติ และจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่สถาบันรับรองของชนผิวขาว สถาบันซึ่งทำสัญญากับบริษัทพลังงานเพื่อประกันว่าการสำรวจและขุดเจาะพลังงานที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อชุมชนในป่านั้นจะยังคงดำเนินต่อไป

จะเห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้คือ “อาหารเสริมของชนผิวขาว” ที่ทำให้เงินทุน REDD+ ไหลมาเทมาอย่างต่อเนื่อง แต่มิใช่ว่าองค์กรการเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์จะถูกทอดทิ้งเสียเลย ภายใต้โครงการ REDD+ นั้น วิถีชีวิตที่อาศัยอยู่กับป่าของกลุ่มชนพื้นเมืองและกลุ่มชาวนาชาวไร่ยังคงได้รับการยอมรับ ก็ต่อเมื่อได้รับการสอนให้ดำเนินการบริหารจัดการด้วยวิธีการให้สิทธิในการปล่อยมลพิษในราคาถูกแก่ชาติมหาอำนาจ

นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องยกเลิก REDD+ ไม่ใช่เพียงแค่ปฏิรูป การปฏิรูปมีแต่จะแก้ปัญหาอย่างไม่ถูกจุดเช่นเก็บ “ข้อมูลพื้นฐานที่ถูกต้องแม่นยำขึ้น” หรือออกแบบ “REDD+ สำหรับชนพื้นเมือง” ซึ่งมีแต่จะทำให้ลัทธิอาณานิคมยิ่งแข็งแรงขึ้นและการรณรงค์เพื่ออนุรักษ์ป่าอย่างแท้จริงยิ่งอ่อนกำลังลง และพอถึงเวลาที่ผู้สนับสนุนแนวคิดเรื่อง carbon offset มาอย่างยาวนานพบว่า พวกเขาไม่สามารถปกป้องแนวคิดนี้ไว้ได้อีกต่อไป ก็จะเป็นเวลาเดียวกันที่ผู้ต่อต้าน REDD+ จะมีพลังมากขึ้นที่จะยุติสถาบันเหล่านี้ไปตลอดกาล


อ้างอิง http://www.thecornerhouse.org.uk/sites/thecornerhouse.org.uk/files/Ending%20REDD%2B.pdf

Scroll to Top